บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก พฤษภาคม, 2019

เงาปริศนาที่ตามมา

รูปภาพ
เราเรียนเป็นผู้ช่วยพยาบาลค่ะ เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว เราต้องไปฝึกงานที่ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยหลังผ่าตัดและคนชราแห่งหนึ่ง อยู่แถวตลิ่งชัน ลักษณะศูนย์ฯ ภายนอกจะเหมือนบ้าน ภายในตกแต่งเหมือนโรงพยาบาลขนาดเล็ก มีคนไข้ราว 30 คนได้ ส่วนมากเป็นคนแก่ที่ญาตินำมาฝากไว้ให้ดูแลค่ะ.. ช่วงมาฝึกงาน เราก็ไม่ได้เจออะไรผิดปกตินะคะ จนเราฝึกงานเสร็จ เราก็ตัดสินใจทำงานที่นี่ต่อเลย การทำงานของเราคือกิน อยู่ รวมกับคนไข้เลย เวลากลางคืนเราก็จะต้องนอนเฝ้าคนไข้ด้วยค่ะ มีอยู่คืนหนึ่ง เรากับเพื่อนอีกคนต้องนอนในห้องพักของผู้ป่วยชาย เป็นห้องรวม มีประมาณ 20 เตียง แต่ตอนนั้นมีคนไข้อยู่ 11 เตียงค่ะ โดยจะมีพี่ๆ อีก 3 คนมาอยู่ด้วย คือพวกเราปูผ้านอนกันที่พื้น เรากับเพื่อนนอนเอาหัวชนกัน โดยนอนเว้นระยะจากเสากลางบ้าน เพราะถือว่ามันไม่ดี แต่พี่อีก 3 คนเขาไม่เว้นค่ะ มีคนหนึ่งนอนตรงเสาพอดีเลย.. พอช่วงประมาณตี 1 เรารู้สึกอยากเข้าห้องน้ำมาก แต่เรากลัวผี ไม่กล้าไปคนเดียว จะปลุกเพื่อนปลุกพี่ๆ ก็เกรงใจ เลยรอให้พี่ผู้ชายที่อยู่ห้องผู้ป่วยหญิงเข้ามากินน้ำในห้องนี้ก่อน คือจะมีพี่ผู้ชายคนหนึ่งเขาจะต้องตื่นมากินน้ำที่นี่เป็น

พี่สาวข้างบ้าน

รูปภาพ
เราเป็นคนจังหวัดลำพูนค่ะ เมื่อราว 7 ปีก่อน เราทำงานอยู่ที่นิคมฯ ลำพูน ต้องอาศัยอยู่หอพักใกล้ๆ ที่ทำงาน เนื่องจากบ้านอยู่ไกลเดินทางไม่ค่อยสะดวก พอถึงสิ้นเดือนเราถึงจะแวะกลับบ้านค่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เรากลับไปบ้านตอนเย็น วันนั้นเป็นวันศุกร์ ไปถึงบ้านประมาณ 2 ทุ่ม ก็นั่งคุยกับพ่อแม่ และทานข้าวตามปกติ จนประมาณ 4 ทุ่มถึงขึ้นนอน บ้านเราจะเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้นะคะ ห้องนอนเราอยู่ชั้น 2 เตียงจะติดกับหน้าต่างเลย คือถ้านั่งลงบนเตียง ขอบหน้าต่างด้านล่างจะอยู่ระดับปลายคางเราพอดี เวลามองออกไปจะเห็นบ้านข้างๆ ได้ชัดเจน มีแค่ซอยเล็กๆ กั้นบ้านเราไว้ค่ะ คืนนั้นประมาณตี 1 เราตกใจตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้แว่วมาเบาๆ แต่ดังต่อเนื่องค่ะ เราลุกขึ้นมามองออกนอกหน้าต่างไปที่บ้านข้างๆ ก็เห็น พี่ฝน ยืนหันหลังร้องไห้อยู่หน้าบ้าน เราก็คิดในใจว่า ‘เขาคงทะเลาะกับสามีเขา แล้วหนีกลับมาร้องไห้ที่บ้านแม่ตัวเองแน่ๆ เลย..’ คือพี่ฝนอยู่บ้านข้างๆ เรา แล้วแต่งงานมีครอบครัว และย้ายไปอยู่บ้านสามี ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันนี้เองน่ะค่ะ.. เรานั่งมองอยู่นาน ก็ไม่เห็นว่าพ่อกับแม่พี่ฝนจะ

เรื่องสยองรับบ้านใหม่

รูปภาพ
สมัยผมเรียนอยู่ ม.1 แม่ผมต้องย้ายบ้าน เพราะเจ้าของเก่าเขาจะขายบ้านเช่าหลังนั้นครับ แม่เลยไปปรึกษากับน้าชาย และป้า โดยจะรวมเงินกันไปซื้อบ้านถูกๆ สักหลัง แล้วอยู่รวมกัน จะได้ไม่ต้องไปเช่าใครอีก ซึ่งทั้งหมดก็เห็นด้วย รวบรวมเงินกันได้ก้อนหนึ่ง ก็ตระเวนออกหาดูบ้านราคาถูกๆ จนไปเจอบ้านหลังหนึ่งอยู่ใกล้กับวัด เป็นบ้านชั้นเดียว ขนาดพอประมาณ มีที่ให้จอดรถได้ 1 คัน พวกผู้ใหญ่ตกลงซื้อบ้านหลังนี้ทันที ผมได้ยินว่าราคามันไม่แพงมาก แถมยังมีเงินเหลือให้น้าชายไปดาวน์รถเก๋งมือสองเก่าๆ ได้อีกคัน เพื่อมาใช้ขับพายายไปโรงพยาบาล เพราะยายแก่แล้ว เป็นหลายโรค สรุปในบ้านก็จะมี ผม แม่ น้าชาย ป้า และยาย อยู่ วันแรกที่ย้ายเข้ามา ก็สังเกตุเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ แต่แม่บอกว่าอย่าไปสนใจ เขาคงเห็นว่าเราแปลกหน้ามาใหม่ เดี๋ยวก็ชินไปเอง.. พอจัดแจงเอาของเข้าบ้านเสร็จ คืนนั้น ป้าก็ลงมือทำอาหารเลี้ยง ขณะที่กำลังนั่งกินกันอยู่ ก็มีหมาจากไหนไม่รู้มาหอนที่หน้ารั้วบ้าน หอนไม่หยุด จนน้าชายต้องเอาก้อนหินไปปาไล่มัน ยายบอกว่า พรุ่งนี้คงต้องไหว้เจ้าที่เจ้าทางสักหน่อยละ แล้วหลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เหมือนจะปกต

คุณลุงที่หายตัวไป

รูปภาพ
ย้อนไปประมาณ 6-7 ปีที่จังหวัดพิษณุโลก ต้องขอท้าวความก่อนว่า คุณลุงผมเคยประสบอุบัติเหตุรถชนมาครับ สมองถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก จนเลอะเลือนกลายเป็นคนสติไม่ดีไปเลย คนแถวบ้านจะเรียกแกว่า ตาบัว ตั้งแต่เกิดเรื่องมา แกก็จะออกไปอยู่ของแกเอง ไม่ยอมเข้าใกล้ลูกหลานคนไหนเลย และแกน่าจะจำญาติๆ ได้แค่บางคนเท่านั้น แกจะมาขอข้าวบ้านป้าผมกินทุกๆ เช้า กับเที่ยง ถึงแม้ว่าลุงจะสติไม่ดี แต่ก็ยังรู้จักทำมาหากินนะครับ แกจะเก็บขวดขาย โดยจะเดินเก็บไปทั่วตลาดแถวบ้านผม และหมู่บ้านรอบข้าง มีอยู่วันหนึ่ง ลุงแกก็ออกไปเก็บขวดอะไรของแกตามปกติ แล้วแกก็คงปวดฉี่ คือปวดตรงไหนก็ฉี่มันตรงนั้นน่ะครับ วันนั้นแกก็ไปฉี่รดศาลเข้า ผมก็ไม่แน่ใจว่าศาลอะไรที่ไหนนะครับ มีชาวบ้านที่เห็นเขามาเล่าให้พ่อแม่ผมฟังอีกที.. พอวันถัดมา ลุงแกก็หายไป พ่อแม่ผมเลยไปถามป้าว่า วันนี้ลุงได้มาเอาข้าวไหม? ป้าก็บอกไม่ได้มา.. พ่อผมลองไปหาที่ที่แกเคยอาศัยอยู่ก็ไม่เจอ จน 2-3 วันเข้า พ่อก็เริ่มโทรหาพวกลูกๆ หลานๆ ที่เป็นผู้ชาย ให้ไปช่วยกันหาตามที่ที่แกเคยไป จน 2 อาทิตย์ผ่านไป ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี เลยต้องเพิ่มบริเวณค้นหากว้างขึ้นไปอีก จนไปได้เรื่องจ

ฉันมีสัมผัสพิเศษ

รูปภาพ
จอมเป็นคนมีสัมผัสพิเศษค่ะ จะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นเสมอ เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเหตุการณ์สมัยจอมอายุได้ประมาณ 10 ขวบ ตอนนั้นจอมยังไม่รู้ตัวเองว่าเป็นคนมีสัมผัสนะคะ คือถนนหน้าบ้านจอมจะมีอุบัติเหตุรถชนกันบ่อยมาก แต่ละครั้งก็จะมีคนตายด้วยเสมอ ทำให้จอมมักจะเห็นอะไรแปลกๆ อยู่เรื่อย เช่นคนเดินผ่านหน้าบ้านแต่กลับไม่มีขาบ้าง ไม่มีแขนบ้าง ตอนนั้นยังเด็กก็คิดว่าเขาคงพิการ ก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร จนวันหนึ่ง มีอุบัติเหตุรถชนที่หน้าบ้านอีกครั้ง คนแถวนั้นรวมถึงบ้านจอมก็ออกไปดูไปช่วยเหลือค่ะ จอมสังเกตุว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนมองจอมอยู่ แต่เขามีเลือดไหลอาบเต็มตัวเลย จอมก็เดินไปหาเขา และถามเขาตามประสาเด็ก ว่าเขาเจ็บตรงไหนไหม? จะได้บอกผู้ใหญ่ให้มาช่วยพาไปโรงพยาบาล ผู้ชายคนนั้นก็ได้แต่ยิ้ม ไม่พูดอะไรค่ะ แต่ ณ เวลานั้นกลับไม่มีใครสนใจผู้ชายคนนี้เลยค่ะ มีแต่เดินผ่านไปมา ไม่มีการหันมาถามอะไรเลย.. จอมก็ถามอีกด้วยความสงสัยว่า ‘น้ายิ้มอะไรคะ บาดเจ็บเลือดท่วมตัวขนาดนี้ยังยิ้มได้อีก เก่งจังเลยค่ะ’ เขาก็พูดมาคำหนึ่งว่า ‘ขอบคุณนะหนู’ แล้วสักพัก แม่กับยายก็เดินเข้ามาหา และถามจอมว่า ‘จอมคุยกับใครอยู่น่ะลูก?

อุทิศตนเป็นร่างทรง

รูปภาพ
ขอท้าวความก่อนเลยนะคะ เราเป็นคนเกิดวันพระใหญ่ อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรีค่ะ ตั้งแต่เด็กเราจะเป็นคนสุขภาพไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร ตัวก็เล็กกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันเสมอ เข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลมาโดยตลอด เดือนหนึ่งบางที 2 ครั้ง พอออกมาไม่กี่วันก็ป่วยแล้วก็เข้าไปอีก ที่บ้านก็เข้าใจว่าที่โรงเรียนอาหารไม่สะอาด ก็ให้ย้ายโรงเรียนไปเรื่อย เป็นแบบนี้จนกระทั่งอายุ 15-16 เลยค่ะ.. มีวันหนึ่ง พ่อแม่พาเราขับรถไปรับคุณยายที่วัดช่วงเข้าพรรษา คือคนแก่เขาจะไปกินนอนถือศีลที่วัดทุกวันพระน่ะค่ะ ระหว่างรอคุณยายเก็บของ ก็มีเพื่อนคุณยายคนหนึ่งเรียกเราเข้าไปหา ท่านก็จับที่ใบหูเราแล้วถามว่า ‘ป่วยบ่อยใช่ไหม?’ เราก็คิดในใจว่า ใครๆ ก็รู้ว่าเราไม่ค่อยแข็งแรง.. ท่านก็บอกอีกว่า ‘เนี่ย ต้องรับเป็นร่างทรงนะ แล้วจะหายป่วย..’ เราก็ยิ้มไปตามมารยาท แต่บอกตรงๆ ว่าเราไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เอามากๆ เพราะพ่อแม่เราค่อนข้างจะเชื่อในทางวิทยาศาสตร์ค่ะ จนกระทั่งผ่านวันเกิดตอนอายุ 25 มาเพียง 2-3 วันเท่านั้น เรากำลังกินข้าวสังสรรค์กันกับเพื่อนๆ พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มมีปัญหาเรื่องความรักค่ะ บอกว่าอยากเลิก แต่เลิกไม่ได้เสียที ต้องกลับไปทนให

เตียงอาถรรพ์

รูปภาพ
ตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ช่วงปี 41 เศรษกิจแย่ครับ สมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ รองานอยู่นาน จนถูกเรียกตัวจากบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งแถวลาดพร้าว ได้งานเป็นช่างเขียนแบบ ซึ่งไม่ค่อยตรงกับที่เรียนมาเท่าไร แต่ก็ต้องทำดีกว่าตกงานครับ.. บริษัทแห่งนี้เหมือนบริษัทครอบครัวครับ เป็นโฮมออฟฟิศ มีพนักงานแค่ไม่กี่คน แล้วที่นี่เองที่เรื่องราวสยองได้เกิดขึ้น เจ้าของบริษัทแกเป็นคนชอบเล่นของเก่าครับ อะไรเก่าๆ แกจะชอบหามาสะสมจนเต็มบ้านเต็มช่อง เวลาเดินผ่านทีไรก็อดขนลุกไม่ได้ ผมเรียกเจ้าของบริษัทว่า พี่ปอ เพราะแกเป็นกันเองกับผมมาก แกชอบให้ผมไปสอนพิเศษลูกชายแกที่ชื่อ น้องตั้ม น้องตั้มอายุราว 10 ขวบ เป็นเด็กน่ารัก สดใส ร่าเริง มีซนบ้างตามประสาเด็กผู้ชาย.. อยู่มาวันหนึ่ง พี่ปอ ไปได้เตียงไม้เก่าแก่มาจากที่ไหนไม่รู้ แกมาคุยว่า ‘นี่เป็นเตียงเก่าแก่ สมัยราชวงศ์อะไรสักอย่างของจีน ตกทอดมาเป็นร้อยๆ ปี เจ้าของร้อนเงินเลยมาขายให้ถูกๆ..’ แต่มันไม่มีที่จะไว้ พี่แกเลยเอาไปเปลี่ยนกับเตียงน้องตั้มซะเลย ผมก็ฟังๆ ไป ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ส่วนตัวไม่ค่อยชอบของเก่า ของมีประวัติ เลยไม่ได้อินไปกับพี่แกเท่าไร.. เหตุการณ์ดูเหมือนจะปก

เรียนกวดวิชาสยอง

รูปภาพ
ย้อนไปร่วม 20 ปี สมัยนั้นผมอยู่จังหวัดนครสวรรค์ครับ ช่วงปิดเทอมใหญ่ แม่ผมมักจะส่งผมไปเรียนกวดวิชาที่กรุงเทพฯ ทุกปี ตั้งแต่อยู่ ม.1 ..จนมาถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ตอนอยู่ ม.3 ผมก็ถูกส่งไปเรียนกวดวิชาอีกตามเคย แต่คราวนี้ผมไปกับเพื่อนอีก 2 คน โดยมีอาจารย์เป็นคนจัดแจงเรื่องที่เรียนที่พักให้ ครั้งนี้ผมได้ไปเรียนที่สถาบันแห่งหนึ่งแถวๆ นางเลิ้งครับ ซึ่งแถวนั้นตึกจะเป็นแนวๆ เดียวกันหมด คือเก่าๆ โทรมๆ น่ากลัวๆ หน่อย.. ไปถึงผมกับเพื่อนก็รู้สึกได้ว่า สถาบันแห่งนี้มีเด็กมาเรียนน้อยมาก น้อยกว่าทุกสถาบันที่ผมเคยเรียนมา คือมีนักเรียนไม่ถึง 20 คน สอนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ช่างมันครับ มาพูดถึงที่พักดีกว่า คือที่พักจะเป็นตึกเก่า 7 ชั้น อยู่ด้านหลังสถาบันเลย พอเข้าไปในตัวตึก ตรงกลางจะเป็นลานกว้าง มีโต๊ะให้นั่งอ่านหนังสือ มีโต๊ะปิงปองเก่าๆ 2 ตัว มีโต๊ะกินข้าวเล็กๆ มีทีวีให้ดู เหมือนหอพักทั่วๆ ไป ดีอย่าง ไม่ต้องรีบตื่น รีบอาบน้ำ ไม่ต้องโหนรถเมล์ไปเรียน ตื่นเมื่อไหร่ก็เดินมาเข้าเรียนได้เลย.. แต่ว่าที่นี่มีแค่พวกผม 3 คนที่มาพักน่ะสิครับ เพราะนอกนั้นจะเป็นเด็กกรุงเทพฯ เช้ามาเรียน เย็นกลับบ้าน.. บังเอิญมีป้า

ฝึกงานที่วัดป่า

รูปภาพ
ช่วงซัมเมอร์สมัยผมเรียนปี 2 วิชาช่างสำรวจ (Survey) ทางมหาวิทยาลัยได้บังคับให้ทุกคนต้องฝึกงานนอกสถานที่ถึงจะจบหลักสูตร ทางคณะจึงจัดให้พวกเราไปฝึกงานที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทางหลวงพ่อของวัดป่าแห่งนี้ มีความต้องการจะสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อใช้ในวัด และหมู่บ้านใกล้เคียง.. พอถึงวันเดินทาง ก่อนออกเดินทางอาจารย์ได้แบ่งพวกเราเป็น 5 กลุ่ม กลุ่มละ 7-8 คน มีช่างเทคนิคประจำกลุ่ม 1 คน แล้วพอไปถึงจะมีลูกหาบที่เป็นคนพื้นที่ หรือชาวพม่า ชาวกระเหรี่ยง คอยช่วยแบกอุปกรณ์อีกกลุ่มละ 1 คน อาจารย์ได้กำหนดเป้าหมาย ขอบเขต แบ่งส่วนการทำงานกันอย่างชัดเจน ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากกับการได้ออกภาคสนามจริงๆ ครั้งแรก เมื่อเดินทางมาถึงวัดป่า อาจารย์ได้จัดแจงแบ่งที่นอนให้พวกเรา คือผู้หญิงกับอาจารย์จะนอนกันบนศาลาวัด ซึ่งมีห้องน้ำในตัว มีพัดลม สะดวกสบาย ส่วนพวกผู้ชายจะกางเต๊นท์นอนกันตรงพื้นที่โล่งแจ้งหลังวัด ใกล้ๆ กับที่เก็บกระดูกคนตาย ..เจริญพรจริงๆ ล่ะครับ หลังจากจัดแจงเรื่องที่พักเสร็จสรรพ หลวงพ่อก็ได้เรียกพวกเราไปให้ศีลให้พร พร้อมทั้งกล่าวว่า ‘ก่อนนอน ขอให้สวดมนต์ แผ่เมตตาด้วย เผื่อสัตว์ร้ายต่างๆ

สยองที่ร้านสะดวกซื้อ

รูปภาพ
ประมาณ 10 ปีที่แล้ว เราทำงานอยู่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง เราอยู่กะบ่าย – กะกลางคืนค่ะ ร้านสะดวกซื้อที่เราไปทำงานอยู่นั้น ขึ้นชื่อว่าเจ้าที่แรงมาก ซึ่งเราก็พอได้ฟังมาอยู่บ้างจากผู้จัดการร้าน และพี่ๆ พนักงานที่เคยทำงานมาก่อน ปกติเราเป็นคนกลัวผีมาก แต่ก็เป็นที่เคยเจอบ่อยเหมือนกันค่ะ.. ร้านนี้จะมี 2 ชั้น สต๊อคสินค้าจะอยู่ชั้น 2 โดยชั้น 2 จะแบ่งเป็นห้องของแห้ง ห้องเครื่องดื่ม และอีกห้องคือห้องผู้จัดการ แต่ผู้จัดการไม่ค่อยได้ไปนั่งหรอกค่ะ จะอยู่หน้าร้านเสียมากกว่า ห้องนั้นเลยเป็นห้องสำหรับไว้ไหว้เจ้าที่ค่ะ คืนหนึ่ง เราอยู่กับพี่ปอ และ พี่ตอ (นามสมมติ) พี่ตอได้ถามเราว่า ‘จริงไหม? ที่เขาว่ากันว่าที่นี่ผีดุ พี่กลัวจัง..’ เราเลยพูดเชิงแหย่พี่ตอเล่นว่า ‘หนูก็ไม่รู้ เพราะหนูไม่เคยเจอ เคยแต่ได้ยินเขาเล่ากัน จะมาตอนไหนเดี๋ยวพี่ก็เห็นเองแหละ’ ..จนกระทั่งประมาณเกือบตี 4 เราขอตัวไปเติมของในตู้แช่เครื่องดื่ม โดยจะต้องเข้าไปเติมหลังร้าน มันจะเป็นประตูใหญ่ๆ คล้ายประตูตู้เย็น ที่เวลาปิดมันจะดัง ‘ตับ!’ ในขณะที่เรากำลังก้มเติมของอยู่นั้น หางตาเราก็เห็นว่ามีคนเดินมาอยู่ทางซ้ายมือ แล้วหยุดอยู่ตรงข้างๆ

ขี่รถท้าความหลอน

รูปภาพ
ย้อนไปเมื่อปี 2549 ผมได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในโคราช และต้องย้ายไปอยู่หอคนเดียว ซึ่งก็ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่อยู่หอเดียวกันประมาณเกือบ 10 คน คือไปไหนไปกัน และที่สำคัญชอบขี่รถเล่นไปตามสถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ที่เค้าว่ากันว่ามีผี ซึ่งพวกผมเคยลองไปกันมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่เคยเจออะไรครับ.. แต่แล้ววันหนึ่ง ผมกับเพื่อนก็ไปได้ยินจากยามที่เฝ้าหอชายว่า ‘ถ้าอยากเจอดี ให้ลองไปขี่รถวนป่าด้านหน้าอาคารที่เป็นห้องสมุด 3 รอบตอนเที่ยงคืนดู..’ พวกผมได้ยินแบบนั้นมันก็รู้สึกเหมือนกับถูกกระตุ้นต่อมวัยรุ่นน่ะสิครับ คืนนั้นผมก็ไปกันเลย ตอนแรกไปแค่ 2 คน มอเตอร์ไซค์คนละคัน แต่พอไปถึงที่อาคารห้องสมุด ปรากฏว่าไปเจอกับเพื่อนๆ ในกลุ่มที่มาถึงก่อนไม่นาน บอกว่าได้ยินมาจากพี่รหัสเหมือนกัน เลยจะมาลอง สรุปตอนนั้นมีทั้งหมด 9 คน ก็เลยซ้อน 3 กันไป มอเตอร์ไซค์ 3 คัน คันที่เหลือจอดไว้ที่อาคาร พวกผมก็รอเวลาเที่ยงคืนครับ พอถึงเวลาก็ขี่รถวนเข้าไปในป่าทันที ตอนนั้นจำได้ว่าอากาศยังไม่เย็นเท่าไหร่ ออกจะร้อนด้วยซ้ำ แต่พอผ่านจุดที่เรียกว่าสะดือของมหาวิทยาลัย (เป็นพื้นที่ว่างๆ ที่ว่ากันว่าสมัยก่อนมีคนตายเยอะ เพราะเ

แอบหลับที่งานวัด

รูปภาพ
เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ผมทำงานอยู่วงมโนราห์วงหนึ่งของภาคใต้ โดยหน้าที่ผมคือประกอบเวทีแสดงครับ เวลามีงานก็แล้วแต่เจ้าภาพจะให้ตั้งเวทีแสดงไว้ที่ไหน ส่วนใหญ่จะเป็นงานวัด ก็คือจัดเวทีในพื้นที่วัดครับ.. ในครั้งที่เกิดเรื่องนั้น วงพวกผมจะต้องไปแสดงกันที่งานวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยฝ่ายตั้งเวทีจะไปกันล่วงหน้า 1 วัน เพราะถ้าไปวันที่แสดงเกรงว่าจะตั้งไม่ทัน พวกผมออกเดินทางจากจังหวัดพัทลุงกันตอนเย็นๆ ไปถึงวัดดังกล่าวก็ค่ำๆ มืดๆ ก็ได้ไปถามเจ้าอาวาสวัดว่าจะให้ตั้งเวทีตรงไหน? ด้วยความที่ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเหนื่อยและล้าจากการเดินทาง จึงชวนกันไปหาที่นอนก่อน โดยที่ไม่ได้บอกกับเพื่อนๆ พี่ๆ คนอื่นไว้ แต่ทุกคนก็เหมือนไม่ได้เอะใจอะไร คงนึกว่าผมกับเพื่อนแวะไปเดินเล่นในงานวัดกัน (ทางวัดมีงานมาแล้วหลายคืน โดยที่คืนถัดไปจึงจะเป็นคิวของวงมโนราห์) พอยิ่งดึก ชาวบ้านในงานเริ่มทยอยกันกลับเรื่อยๆ จนเริ่มไม่ค่อยเหลือใคร จะมีก็แต่พ่อค้าแม่ค้าในงาน จนถึงเวลาเที่ยงคืน ผมกับเพื่อนก็ยังคงนอนหลับกันอยู่.. เพื่อนๆ พี่ๆ ที่เหลือเริ่มพากันตามหาผมกับเพื่อนที่นอนอยู่ แต่หายังไงก็หาไม่เจอ หาจนเหนื่อย โทรหาก็

สถานีผีดุ

รูปภาพ
ช่วงปลายปี 2549 ผมได้เข้าไปทำงานเป็นคนเขียนข่าว ของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ทำงานของผมจะเป็นตึก 4 ชั้น ชั้น 1 จะเป็นชั้นโล่งๆ เอาไว้เก็บของ และบริเวณด้านหน้าตึกจะมีการวางแผงขายของ ซึ่งเป็นแผงของเจ้าของตึกเอง ชั้น 2 จะเป็นห้องทำงานของพวกผม มีช่างกล้อง ช่างตัดต่อ นักข่าว และผมคนเขียนข่าว ชั้น 3 จะถูกทิ้งร้างไว้ ส่วนชั้น 4 เป็นห้องกระจายเสียงวิทยุท้องถิ่น และเป็นออฟฟิศของผู้อำนวยการ เวลาพวกผมจะส่งงานก็ต้องขึ้นไปที่ชั้นนี้ครับ เรื่องมันเกิดขึ้นในวันหนึ่ง หลังจากที่ผมกับเพื่อนนักข่าวอีกคน เอางานขึ้นไปส่งที่ห้องผู้อำนวยการเสร็จครับ เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ขณะที่ผมกับเพื่อนเดินลงบันไดมาถึงชั้น 3 พวกผมเห็นเด็ก 2 คนวิ่งลงบันไดจากชั้น 3 ลงไปชั้น 2 ส่งเสียงดังหัวเราะสนุกสนาน ผมจึงตะโกนออกไปว่า ‘น้องๆ อย่าเสียงดังครับ พี่เค้าจัดรายการอยู่ข้างบน!’ แต่เด็กๆ ไม่ฟังเลย ยังคงหัวเราะวิ่งขึ้นวิ่งลง จากชั้น 2 ก็ลงไปชั้น 1 ตอนนั้นชั้น 2 ไม่มีใครอยู่แล้ว พวกผมจึงรีบวิ่งตามลงไป แต่พอถึงชั้น 1 กลับไม่มีใครอยู่เลย? จึงเดินไปถามที่แผงขายของหน้าตึก ซึ่งเค้าบอกว่า ‘ไม่เห็นมีเด็ก

เรียกวิญญาณตายโหง

รูปภาพ
ตอนผมเรียนอยู่ปี 3 ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มีสาขาอยู่ที่นครปฐม วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันสอบเสร็จพอดี หลายคณะสอบเสร็จพร้อมกัน ในคืนนั้นจึงมีงานเลี้ยงฉลองกันใหญ่โตที่ผับแห่งหนึ่งใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย ทุกคนต่างสนุกกันมาก ทั้งกินเหล้า จีบสาว แด๊นซ์ คือปลดปล่อยเต็มที่หลังจากที่เครียดกันมานาน จนถึงเวลาผับใกล้ปิด คนก็เริ่มทยอยกลับกันไป ส่วนพวกผมที่กำลังจะกลับ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงแก้วแตก เลยหันไปมอง เห็นผู้ชายกำลังทะเลาะกับผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ผมพยายามมองดีๆ จึงรู้ว่าเธอคือน้องในคณะศึกษาศาสตร์ที่หน้าตาดี และเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ ในมหาวิทยาลัย จากนั้นน้องเค้าก็ผลุนผลันออกจากร้านไป สตาร์ทรถออกตัวไปอย่างรวดเร็ว ผมกับเพื่อนๆ ที่เดินตามออกไป ได้เห็นแค่เพียงไฟท้ายรถแล่นผ่านความมืดหายไป หลังจากออกจากผับ พวกผมก็แวะตลาดกินโจ๊กกันให้อิ่มท้องจะได้นอนหลับสบาย พอเสร็จก็ขับรถกลับหอในมหาวิทยาลัย แต่พอพ้นประตูรั้วเข้ามา ก็เห็นรถพยาบาล รถกู้ภัย เปิดไซเรนวูบวาบไปหมด พอขับพ้นโค้งมา เพื่อนก็สะกิดบอก ‘เฮ้ยๆ มีรถแหกโค้งว่ะ จอดๆ ลงไปดูหน่อย..’ ผมก็ทำตามที่เพื่อนบอก จอดรถข้างทางแล้วลงไปดูกัน คือที่โค้งนี้เค

เรื่องของเพื่อนที่ชื่อกิ่ง

รูปภาพ
สมัยผมเรียนชั้นประถมในจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน อยู่ติดชายแดนประเทศกัมพูชา ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อกิ่ง (นามสมมติ) กิ่งเป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาดี น่ารักครับ แต่ว่าแขนข้างขวาของเธอนั้น มีถึงเพียงบริเวณข้อศอกเท่านั้น หรือพูดง่ายๆ คือแขนขวาพิการนั่นเอง ผมค่อนข้างสนิทกับเธอเป็นพิเศษ จนเธอก็เล่าอะไรแปลกๆ ให้ผมฟังบ่อยๆ ว่าเธอมองเห็นเปรตที่หลังโรงเรียนบ้าง หรือเห็นคนอยู่บนต้นไม้ระหว่างทางกลับบ้านบ้าง.. เย็นวันหนึ่ง ผมกลับบ้านมาเจอแม่พอดี ซึ่งวันนี้แม่ดูไม่เหนื่อยมาก ผมเลยชวนแม่คุยไปเรื่อย จนถึงเรื่องของกิ่ง ผมเล่าเรื่องที่กิ่งเห็นอะไรแปลกๆ ให้แม่ฟัง แม่เลยบอกว่า ‘ก็อาจจะจริงนะ เพราะตัวกิ่งเองนั้นเป็นเด็กมีกรรมติดตัวมาแต่เกิด..’ คือแม่ผมก็รู้จักกับครอบครัวของกิ่งครับ จากนั้นก็เป็นแม่ผมเองที่เล่าให้ผมฟังยาวเลย แม่ผมเล่าว่า เมื่อราวๆ 10 ปีก่อนที่ผมจะเกิด (ผมเกิด 2533 เรื่องที่แม่เล่าเกิดขึ้นราวๆ 2523) เย็นวันหนึ่งที่หมู่บ้าน ชาวบ้านต่างมารวมตัวกันที่บ้านของ น้าก้าน (พ่อของกิ่ง) เพราะวันนั้นควายที่บ้านน้าก้านจะคลอด มันส่งเสียงร้องตั้งแต่เช้า แต่ไม่คลอดสักที ชาวบ้านที่เสร็จจากทำไร่ไถนาก็มาช่วยกั

เรื่องสยองของนักดนตรี

รูปภาพ
ผมทำงานเป็นนักดนตรี ต้องเดินทางบ่อย ก็เลยได้เจอเรื่องแปลกๆ บ่อยเช่นกัน แต่ละครั้งที่เจอจะเจอแบบไม่นาน เลยขอเล่าเป็นหลายๆ เรื่องแล้วกันนะครับ เรื่องแรก วันนั้นผมไปตั้งเครื่องเสียงให้เช่าครับ สถานที่เป็นโรงหนังเก่า เวทีแสดงจะอยู่ตรงจอหนังพอดี โดยยกพื้นสูงขึ้นมาเป็นเวที ตอนไปตั้งเครื่องก็ปกติดีไม่มีอะไร จะมาเจอก็ตอนเก็บเครื่องเสียงนี่ล่ะครับ คือจังหวะที่เก็บเครื่องอยู่ ผมเก็บกับพี่อีก 2 คน อยู่ดีๆ ก็มีอะไรบางอย่างดลใจให้พวกผมหันขึ้นไปมองที่ด้านบนขอบจอกันหมดเลย และสิ่งที่เห็นคือเด็กผู้หญิงที่ไม่มีลูกตา กำลังเกาะขอบจอด้านบนอยู่! ซึ่งมันไม่มีทางที่คนจะไปเกาะได้ เพราะด้านหลังมันไม่มีนั่งร้านหรืออะไรให้ยึดได้เลย คือทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นเหมือนกันหมด ก่อนที่เขาจะหลบหายไปด้านหลัง ..ได้ยินจากคนแถวนั้นว่า ตอนโรงหนังปล่อยร้าง เคยมีเด็กมาวิ่งเล่นแล้วชนชั้นวางของหล่นทับตาย.. เรื่องที่ 2 วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องไปเล่นดนตรีที่จังหวัดเพชรบุรี เหตุเกิดตอนขากลับเข้ากรุงเทพฯ ครับ ทางที่กลับต้องวิ่งลงเขา โดยที่จะมี 4 แยกอยู่หลายๆ แยก จากบนเขาถึงถนนใหญ่ ระหว่างทางพวกผมก็คุยกันไปเรื่อย สักพัก

วิญญาณหวงบ้าน

รูปภาพ
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นกับผมในสมัยวัยเด็ก ที่จังหวัดอยุธยา ในยุคที่ยังใช้เพจเจอร์กันอยู่เลย คือวันนั้นบ้านข้างๆ ผมเขามีญาติมาเยี่ยมครับ ทีนี้ตอนญาติเขากลับ แกดันเผลอวางเพจเจอร์ไว้บนหลังคารถ ขับไปมันก็หล่นหายสิครับ แกก็เลี้ยวรถกลับมา มาวานให้ผมกับเพื่อนๆ แถวบ้านช่วยกันเดินหาตามข้างทางให้ที ตอนนั้นเวลาพลบค่ำแล้วด้วย พวกผมก็เดินส่องไฟฉายหากันไปเป็นกลุ่มใหญ่เลย เดินหาจนมาถึงบริเวณใกล้กับบ้านร้างหลังหนึ่ง ที่ถ้ามองจากถนนปูนเข้าไปก็จะเห็นประตูบ้านอยู่ไกลๆ ณ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรกับบ้านนี้เท่าไร เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการหาเพจเจอร์ จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง ผมหันไปทางหลังคาบ้านร้างนั่นพอดี สิ่งที่เห็นคือลูกไฟสีส้มๆ ขนาดเท่าลูกมะพร้าวได้ มันกำลังลอยเอื่อยๆ วนอยู่เหนือบ้านร้างหลังนั้นครับ ผมตกใจแล้วหันไปบอกกับทุกคน พร้อมชี้ให้ดูลูกไฟประหลาดนั่น ปรากฏว่าทุกคนเห็นเหมือนกันหมดครับ ไม่ใช่ตาฝาดแน่นอน จนพวกผู้ใหญ่เขาเริ่มเห็นท่าไม่ดี เลยชวนทุกคนกลับบ้านเลยครับ สรุปเพจเจอร์ก็หาไม่เจอ เรื่องลูกไฟนั่นก็พาให้ทุกคนฉงนใจไปหลายวัน ว่ามันคืออะไร? ..แล้วเรื่องนี้มันก็ผ่านไปจน

ความลับของห้อง 206

รูปภาพ
โดยเรื่องมีอยู่ว่า.. ณ มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งของภาคตะวันออก เมื่อปีการศึกษา 2526 ผมอยู่ที่นี่มา 2 เดือนแล้ว กำลังปรับตัวให้เข้ากับชีวิตเด็กหอของมหาวิทยาลัยนี้ แต่มันไม่ง่ายเลยกับการที่เคยอยู่บ้านสบายๆ แล้วต้องออกมาอยู่เองตัวคนเดียว รับผิดชอบตัวเองตั้งแต่ตื่นยันหลับ หอพักที่มหาวิทยาลัยจัดไว้ให้ แบ่งเป็นหอชาย 7 หอ ผมได้อยู่หอที่ 7 ซึ่งถือว่าเป็นหอใหญ่ที่สุด แบ่งเป็นปีกซ้ายปีกขวา มีทางเดินเชื่อมตรงกลาง ข้างหน้าหอเป็นลานจอดรถ ส่วนด้านหลังเป็นสนามกีฬาที่เหล่านักศึกษาของแต่ละหอจะมาใช้ร่วมกัน ตกเย็นก็ครึกครื้นมาก แต่พอดึกแล้วนี่สิครับ เงียบเหงาวังเวงสิ้นดี เพราะในรั้วมหาวิทยาลัยมีกฏระเบียบควบคุมบังคับ จะเฮฮาอึกทึกครึกโครมดึกๆ ดื่นๆ เหมือนพวกหอพักเอกชนนอกมหาวิทยาลัยไม่ได้ ใครทนเงียบทนเหงาไม่ได้ก็ต้องออกไปอยู่หอนอก ส่วนตัวผมจำเป็นต้องทนเหงาอยู่หอใน เพราะว่าค่าหอนั้นถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง แต่ก็ดีที่ยังมี ไอ้แกว เพื่อนผม เป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปีหนึ่งเหมือนกัน ถึงจะอยู่คนละคณะ แต่ก็อยู่หอพัก 7 นี้ด้วยกัน แต่ว่าตอนนี้มันย้ายไปอยู่หอนอกแล้ว และก็เพราะมันนี่ล่ะ ที่ทำให้ผมต้องลาจากหอนี้ไปตลอดก

คุณลุงชั้น 3

รูปภาพ
  เราอยู่จังหวัดสกลนครค่ะ มีอยู่ครั้งหนึ่งช่วงสงกรานต์ และเป็นช่วงปิดเทอม เราได้ไปหาพ่อที่กรุงเทพฯ คือพ่อเราเช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่ในซอยลึกแถวหลักสี่ค่ะ เรานั่งรถไปถึงตอนช่วงตี 3 จะตี 4 ที่ตึกปิดไฟมืด บรรยากาศกำลังเงียบสงัดดูน่ากลัวเลย พี่คนขับรถที่มาส่งเราบอกให้โทรหาพ่อให้ลงมารับ เพราะของเราเยอะ แล้วห้องก็อยู่ตั้งชั้น 4 ซึ่งไม่มีลิฟท์ด้วย แต่เราโทรไปหาพ่อแล้ว พ่อไม่รับสาย เลยต้องให้คนขับรถช่วยเอาของออกมากองเอาไว้ข้างล่าง ส่วนเราวิ่งขึ้นไปเรียกพ่อที่อยู่ชั้น 4 เราวิ่งขึ้นไปแบบก้าวทีละ 2-3 ขั้น วิ่งแบบหลับหูหลับตาเพราะว่ามันมืด วังเวง น่ากลัวมากค่ะ ขณะกำลังวิ่งขึ้นไปนั้น ประมาณชั้น 3 เราก็วิ่งสวนกับลุงคนหนึ่ง ใส่เสื้อสีฟ้าแบบคนขับรถแท็กซี่ แต่ไม่เห็นหน้าเพราะว่ามันค่อนข้างมืด เราก็คิดในใจว่าลุงแกคงจะออกไปทำงานแล้วล่ะมั้ง.. พอไปถึงห้อง เราก็เรียกพ่อ และพากันลงไปขนของ ตอนขาลงเราก็เดินสวนกับลุงแท็กซี่คนนั้นอีก เราก็เอะใจว่าทำไมลุงแกถึงยังไม่ลงไปอีก หรือว่าคงจะลืมของ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอเช้าวันต่อมา พ่อเราต้องออกไปทำธุระแต่เช้า เราเลยอยู่ห้องคนเดียว หลังจากพ่อเราปิดประตูออกไปไม