บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มกราคม, 2020

กำแพงที่มองไม่เห็น

รูปภาพ
คืนนี้แอดมินขอเล่าเรื่องสยองขวัญจากญี่ปุ่นให้ฟังบ้างครับ พอดีเคยได้อ่านเมื่อสมัยเด็ก แล้วจำได้จนทุกวันนี้เลย เป็นเรื่องของ โยสุเกะ นักเรียนมัธยมชื่อดังในญี่ปุ่น.. ช่วงเช้าวันหนึ่งในห้องเรียน โยสุเกะเห็นว่าโต๊ะที่นั่งข้างหลังห้องตัวหนึ่งนั้นว่างอีกแล้ว เขาจำได้ว่าเป็นที่นั่งของเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อ ฮิโรกิ ซึ่งถ้ารวมวันนี้ ฮิโรกิก็น่าจะขาดเรียนมาเกิน 7 วันแล้ว.. ด้วยความสงสัย โยสุเกะเลยถามเพื่อนในห้องหลายๆ คน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าฮิโรกิไปไหน จนมีเพื่อนคนหนึ่งซึ่งบ้านอยู่ใกล้กับฮิโรกิเล่าว่า ‘ทุกเช้าฉันก็เห็นฮิโรกิใส่ชุดนักเรียนเดินออกจากบ้านมานี่นา แต่ที่เห็นล่าสุดแล้วรู้สึกแปลกๆ ก็คือฮิโรกิเดินออกจากบ้านมาหยุดอยู่ที่หนึ่ง แล้วก็เดินกลับบ้านไป ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน..’ โยสุเกะเลยขอที่อยู่บ้านของฮิโรกิเอาไว้ แล้วก็เข้าเรียนต่อ.. จนถึงตอนเย็นหลังเลิกเรียน โยสุเกะตัดสินใจไปหาฮิโรกิที่บ้าน เพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อไปถึงบ้านของฮิโรกิ พยายามกดกริ่งเรียกเท่าไรก็ไม่มีใครมาเปิดประตู จนโยสุเกะได้ลองบิดลูกบิดดู ปรากฏว่าไม่ได้ล็อค จึงตัดสินใจเข้าไป.. ที่ชั้นล่างไม่มีใครอยู่ โยสุเกะก็

โทโมโกะ

รูปภาพ
 โมมีโอกาสได้รับเล่นสารคดีค่ะ เป็นคดีสะเทือนขวัญของ  ‘โทโมโกะ คาวาชิตะ’  เหยื่อสาวญี่ปุ่นที่ถูกฆ่าชิงทรัพย์ที่จังหวัดสุโขทัย โมมีความรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่า การที่โมได้รับเล่นบทเป็นโทโมโกะ มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะก่อนหน้านี้โมตั้งใจไว้ว่าจะไม่รับงานแสดงอีกแล้ว แต่พอเห็นโพสต์หานักแสดงอันนี้ ก็มีความรู้สึกอยากไปมากๆ ซึ่งแปลกมาก เพราะโมไม่คิดจะรับงานแสดงแล้วจริงๆ โมอยากได้บทนี้ถึงขนาดที่ต้องอธิษฐานในใจว่า  ‘ถ้าเรามีบุญสัมพันธ์กัน ขอให้โมได้รับแสดงบทนี้ด้วย..’  แล้วโมก็ได้บทนี้มาแบบที่ไม่ต้องลุ้นเลยค่ะ คืนก่อนที่จะไปถ่ายทำสถานที่จริง ก็ได้นอนพักที่สุโขทัยคืนนึง แล้วโมฝันว่า มีคนโดนรถชนตายอยู่บนถนน 2 คน นอนขวางถนนเลย แล้วโมที่ขับรถอยู่เหยียบเบรคไม่ได้ ก็เลยทับคนที่นอนตายคนนึงมา แล้วลากร่างเค้าติดกับใต้ท้องรถไปด้วย ตลอดที่ขับรถออกมาจากตรงนั้น โมเห็นเลือดลากเป็นทางยาวแบบน่ากลัวมากๆ.. โมก็ไปเล่าความฝันให้ทีมงานฟัง แต่ก็ยังไม่ได้อะไร จนตอนที่ไปถ่ายตรงสถานที่ที่โทโมโกะตาย โมก็เดินเล่นขึ้นไปบนเขาวัดวังหิน ในใจก็คิดว่า อยากรู้จังว่าโทโมโกะเธอตายตรงไหน? แต่ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ จนไม่รู้

เรื่องสยองรับบ้านใหม่

รูปภาพ
 สมัยผมเรียนอยู่ ม.1 แม่ผมต้องย้ายบ้าน เพราะเจ้าของเก่าเขาจะขายบ้านเช่าหลังนั้นครับ แม่เลยไปปรึกษากับน้าชาย และป้า โดยจะรวมเงินกันไปซื้อบ้านถูกๆ สักหลัง แล้วอยู่รวมกัน จะได้ไม่ต้องไปเช่าใครอีก ซึ่งทั้งหมดก็เห็นด้วย รวบรวมเงินกันได้ก้อนหนึ่ง ก็ตระเวนออกหาดูบ้านราคาถูกๆ จนไปเจอบ้านหลังหนึ่งอยู่ใกล้กับวัด เป็นบ้านชั้นเดียว ขนาดพอประมาณ มีที่ให้จอดรถได้ 1 คัน พวกผู้ใหญ่ตกลงซื้อบ้านหลังนี้ทันที ผมได้ยินว่าราคามันไม่แพงมาก แถมยังมีเงินเหลือให้น้าชายไปดาวน์รถเก๋งมือสองเก่าๆ ได้อีกคัน เพื่อมาใช้ขับพายายไปโรงพยาบาล เพราะยายแก่แล้ว เป็นหลายโรค สรุปในบ้านก็จะมี ผม แม่ น้าชาย ป้า และยาย อยู่ วันแรกที่ย้ายเข้ามา ก็สังเกตุเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านซุบซิบอะไรกันก็ไม่รู้ แต่แม่บอกว่าอย่าไปสนใจ เขาคงเห็นว่าเราแปลกหน้ามาใหม่ เดี๋ยวก็ชินไปเอง.. พอจัดแจงเอาของเข้าบ้านเสร็จ คืนนั้น ป้าก็ลงมือทำอาหารเลี้ยง ขณะที่กำลังนั่งกินกันอยู่ ก็มีหมาจากไหนไม่รู้มาหอนที่หน้ารั้วบ้าน หอนไม่หยุด จนน้าชายต้องเอาก้อนหินไปปาไล่มัน ยายบอกว่า พรุ่งนี้คงต้องไหว้เจ้าที่เจ้าทางสักหน่อยละ แล้วหลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เหมือนจะปกติ

คุณปู่ใจน้อย

รูปภาพ
 ตอนนั้นผมกลับไปบ้านย่าที่ต่างจังหวัด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ปู่เพิ่งเสียได้ประมาณ 3 เดือน บ้านย่าผมจะเป็นร้านขายของนะครับ วันนั้นผมก็นั่งเฝ้าร้านคุยกับย่าไปเรื่อยจนเที่ยง อากาศช่วงนั้นร้อนมากๆ นั่งตากพัดลมกัน 2 คน จู่ๆ ย่าก็ถามผมว่า ‘มึงหนาวไหม?’ ผมมองหน้าย่าด้วยความงง และตอบย่าไปว่า ‘หนาวอะไรย่า ร้อนจนเหงื่อท่วมแล้วเนี่ย..’ แต่ย่ากลับบอกว่า ‘กูหนาวจังเลย..’ ผมเลยหันพัดลมมาทางผมคนเดียว ย่าก็ยังคงพูดว่า ‘กูหนาว..เอาผ้าห่มมาให้กูหน่อย’ ผมก็เดินไปเอาผ้าห่มมาให้ย่าห่ม พอห่มผ้าแล้ว ผมสังเกตว่าย่ายังตัวสั่นอยู่ ก็คิดในใจว่าย่าไม่สบายหรือเปล่า? จนย่าบอกผมว่า ‘กูไม่ไหวละ กูหนาว มึงนั่งเฝ้าหน้าร้านให้กูหน่อยนะ’ ผมก็ตอบตกลง โดยบอกให้ย่ารีบเข้าห้องไปนอน เดี๋ยวผมเฝ้าร้านให้เอง หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง น้องชายผมก็กลับมาจากโรงเรียน น้องถามผมว่าย่าไปไหน? ผมก็ตอบไปว่าย่าเข้าห้องนอนไปแล้ว และตอนนั้นเอง ผมก็ได้ยินย่าทำเสียงโอดโอย ก็คิดในใจว่า ‘เอาแล้วไง ย่าเป็นอะไรวะ?’ เริ่มใจไม่ดี เลยชวนน้องเข้าไปดูย่า พอเข้าไปย่าบอกว่า ‘เดียร์ๆ มึงขึ้นมานอนทับกูหน่อย กูหนาว..’ (น้องผมชื่อเดียร์) ผมก็งงว่าย่าห่มผ้า 2

ห้องน้ำชั้นบน

รูปภาพ
 เป็นเรื่องเมื่อ 7 ปีที่แล้ว เกิดขึ้นที่จังหวัดกาฬสินธุ์นะคะ คือเราขับรถผ่านไปเห็นมีบ้านตึกแถว 2 ชั้นอยู่ติดกัน 7 ห้องบนถนนสายหนึ่งในตัวเมือง ซึ่งห้องที่ 2 มีป้ายประกาศ ‘ขายด่วนราคาถูกมาก’ ติดอยู่ เราเห็นว่ายังดูใหม่ดูสวยดี เลยกลับไปบอกพี่สาวเรา ที่กำลังดูๆ บ้านใหม่อยู่ พี่สาวเราก็สนใจ เลยขอให้เราพาไปดูในวันพรุ่งนี้ตอนเย็นหลังเลิกงาน เราก็จัดการโทรติดต่อเจ้าของบ้านตามที่จดมา ซึ่งเขาก็บอกว่าเป็นบ้านเปล่าไม่ได้ล็อค สามารถเปิดเข้าไปดูได้เลยตามสบาย พอวันต่อมาตอนเย็น พี่สาวเรากลับติดธุระ เลยบอกให้เราไปดูบ้านก่อน ตอนนั้นเวลาประมาณ 18:30 และเป็นช่วงฤดูหนาว ฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ บรรยากาศจะคล้ายที่คนเฒ่าคนแก่เรียกกันว่า ‘ช่วงผีตากผ้าอ้อม’ ซึ่งเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของคนภาคอีสาน แต่เราเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องผี หรือวิญญาณสักเท่าไหร่.. เราขับรถไปถึงบ้านหลังนั้นในเวลาที่เกือบจะมืดแล้ว เราก็รีบเข้าไปในบ้านทันที ลักษณะเป็นบ้านตึกแถวธรรมดา ชั้นล่างโล่งหมดไม่มีอะไรเลย พอขึ้นไปชั้นบน ทางซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำ เราเดินสำรวจทุกห้องซึ่งก็เป็นห้องโล่งๆ จนกลับมาหยุดยืนที่หน้าห้องน้ำ ประตูเป็นไม้สีน้ำตาลมีช

เหตุเกิดบนแท็งค์น้ำ

รูปภาพ
 เมื่อประมาณ 5-6 ปีก่อน สมัยนั้นผมเรียนอยู่ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น ปกติหลังเลิกเรียนช่วง 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม พวกผมก็จะชอบเล่นบาสกัน เป็นสนามบาสกลางแจ้งนะครับ ข้างๆ สนามจะมีแท้งน้ำตั้งอยู่ ลักษณะเป็นโครงขึ้นไปสูงๆ ประมาณตึก 3 ชั้นได้ มีบันไดเหล็ก และมีแท้งน้ำตั้งอยู่ด้านบน วันนั้นพวกผมก็เล่นบาสกันตามปกติ ซึ่งคนเล่นก็มีไม่เยอะ พอจัดเป็นทีม 3:3 ได้ประมาณ 3-4  ทีมแล้วแต่วัน โดยยึดเอาว่าทีมไหนแพ้ออก.. ผมจำเวลาไม่ค่อยได้ แต่น่าจะราวๆ ทุ่มกว่าๆ มันเป็นช่วงหน้าหนาวด้วยเลยค่อนข้างมืด ตอนนั้นทีมผมแพ้เลยต้องออกครับ ก็มานั่งพักกันข้างสนาม อยู่ๆ สายตาผมก็เหลือบมองไปเห็นเงาคนตะคุ่มๆ อยู่บนแท้งน้ำครับ คือด้านบนมันจะมีทางเดินล้อมรอบตัวแท้งน้ำ ผมมองอยู่สักพัก คิดว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่องดีแน่ๆ เลยบอกเพื่อนๆ รุ่นพี่รุ่นน้องดู แล้วบอกว่า ‘เฮ้ย มันจะโดดไหมวะ?’ รุ่นพี่คนหนึ่งถามผม ‘อะไร โดดอะไร?’ ผมก็ชี้ไปบอกว่า ‘คนไง จะโดดไหมวะ?’ ตอนนั้นไม่รู้ผมคิดอะไร คิดแต่ว่า ปล่อยไว้มันโดดแน่ๆ ผมเลยรีบวิ่งไปปีนขึ้นแท้งน้ำเพื่อขึ้นไปห้าม ทั้งๆ ที่ตัวผมเองกลัวความสูง.. พอขึ้นไปถึง ก็เห็นผู้ชายวัยกลางคน

ทางลัดซอยเปลี่ยว

รูปภาพ
 ประมาณ 6 ปีก่อน ตอนนั้นผมเรียน ปวช. อยู่ วัยกำลังเกเรเลย เหตุมันเกิดขึ้นที่บางใหญ่ จังหวัดนนทบุรีครับ วันนั้นผมไปเที่ยวบ้านเพื่อน ไปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง คืนนั้นผมกะว่าจะไม่กลับบ้าน จะนอนค้างกันที่นั่นเลย แต่ว่าแม่ผมโทรมาตามให้กลับบ้านให้ได้ ผมจึงต้องยอมกลับ.. เวลาตอนออกจากบ้านเพื่อนคือเที่ยงคืนเป๊ะๆ ผมขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรเพื่อจะมาเข้าซอยก่อนถึงบ้านเพื่อน (บ้านเพื่อนติดถนนใหญ่) พอย้อนมาปุ๊บ จังหวะเลี้ยวรถเข้าซอย ไฟรถมันก็สาดเข้าไปข้างในซอย ผมเห็นเต็มตาเลยว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ ใส่ชุดสีขาวแบบในหนังเลย เธอยืนก้มหน้าอยู่ตรงฟุตบาทหลังซุ้มประตูทางเข้าซอย ผมไม่พูด ไม่ทัก ไม่บีบแตร พยายามทำเป็นไม่เห็น แต่เพื่อนผมที่ซ้อนมาเนี่ยมันดันพูดขึ้นมาว่า ‘บิ๊ก มึงเห็นอย่างที่กูเห็นไหม?’ เท่านั้นแหละ ผมบิดแบบไม่คิดชีวิตเลยครับ แต่มันยังไม่จบเท่านั้นครับ เส้นทางที่ผมกลับเนี่ยมันเป็นซอยผ่านวัดจีน แล้วต้องข้ามสะพานจนไปเจอซอยมืดๆ ทะลุไปเพื่อกลับมาปากเกร็ด ตามทางนี่จะมืดมากๆ เป็นถนน 2 เลนสวนกัน ไม่มีไฟ บ้านคนก็จะอยู่ห่างๆ กัน ข้างทางเป็นป่าสลับกับทุ่งนา เส้นทางนี้มันจะมีโค้งอยู่โค้งหนึ่ง ซึ่งจะอยู่ก

ขี่รถท้าความหลอน

รูปภาพ
 ย้อนไปเมื่อปี 2549 ผมได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในโคราช และต้องย้ายไปอยู่หอคนเดียว ซึ่งก็ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ที่อยู่หอเดียวกันประมาณเกือบ 10 คน คือไปไหนไปกัน และที่สำคัญชอบขี่รถเล่นไปตามสถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ที่เค้าว่ากันว่ามีผี ซึ่งพวกผมเคยลองไปกันมาหมดแล้ว แต่ก็ไม่เคยเจออะไรครับ.. แต่แล้ววันหนึ่ง ผมกับเพื่อนก็ไปได้ยินจากยามที่เฝ้าหอชายว่า ‘ถ้าอยากเจอดี ให้ลองไปขี่รถวนป่าด้านหน้าอาคารที่เป็นห้องสมุด 3 รอบตอนเที่ยงคืนดู..’ พวกผมได้ยินแบบนั้นมันก็รู้สึกเหมือนกับถูกกระตุ้นต่อมวัยรุ่นน่ะสิครับ คืนนั้นผมก็ไปกันเลย ตอนแรกไปแค่ 2 คน มอเตอร์ไซค์คนละคัน แต่พอไปถึงที่อาคารห้องสมุด ปรากฏว่าไปเจอกับเพื่อนๆ ในกลุ่มที่มาถึงก่อนไม่นาน บอกว่าได้ยินมาจากพี่รหัสเหมือนกัน เลยจะมาลอง สรุปตอนนั้นมีทั้งหมด 9 คน ก็เลยซ้อน 3 กันไป มอเตอร์ไซค์ 3 คัน คันที่เหลือจอดไว้ที่อาคาร พวกผมก็รอเวลาเที่ยงคืนครับ พอถึงเวลาก็ขี่รถวนเข้าไปในป่าทันที ตอนนั้นจำได้ว่าอากาศยังไม่เย็นเท่าไหร่ ออกจะร้อนด้วยซ้ำ แต่พอผ่านจุดที่เรียกว่าสะดือของมหาวิทยาลัย (เป็นพื้นที่ว่างๆ ที่ว่ากันว่าสมัยก่อนมีคนตายเยอะ เพราะเป็นล

ผู้หญิงที่กุฏิ

รูปภาพ
 เมื่อเมษายน ปี 2555 ตอนนั้นผมเพิ่งบวชเป็นสามเณร อยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พอทำพิธีบวชเสร็จ ก็ขนสัมภาระขึ้นกุฏิ ตอนเย็นผมก็มาสวดมนต์พร้อมกับเณรอีก 10 รูป สวดตั้งแต่ประมาณ 6 โมงครึ่งถึง 2 ทุ่ม พอสวดเสร็จ ผมก็กลับเข้ากุฏิเพื่อที่จะจำวัดนอน คืนแรกที่นอน ผมหลับไปถึงตีอะไรก็ไม่แน่ใจครับ และก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะมีเสียงเหมือนคนเดินไปเดินมาอยู่หน้ากุฏิ ผมเลยเปิดออกมาดู ก็ไม่มีอะไร.. ก็กลับเข้ามานอนต่อ แต่นอนไปได้สักพักหนึ่ง ก็มีเสียงเหมือนเดิมครับ เสียงเท้าคนเดินไปเดินมา เป็นอย่างนี้กว่า 12 วัน แต่พอคืนที่ 13 ซึ่งมันตรงกับวันศุกร์ คืนนั้นผมกลับมาที่กุฏิก่อนคนเดียว เนื่องจากว่าผมไม่สบาย ตอนที่ผมเดินกลับมาที่กุฏิอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ก็เริ่มหวั่นๆ แต่คิดว่าคงหูแว่ว เลยรีบขึ้นกุฏิไปนอนทันที ผมหลับไป จนกลางดึกก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อีกครั้ง แต่คราวนี้ร้องโหยหวนดังมากๆ เหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ และเสียงเหมือนอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ผมก็คิดว่าต้องเจออะไรเข้าแล้วแน่ๆ ตอนนั้นผมอยู่ในท่านอนตะแคงซ้าย หันหลังในให้ประตูกุฏิ และผมมีความรู้สึกอย่างแรง ว่าไม่ได้นอนอ

เพื่อนบ้านผมตาย

รูปภาพ
 ผมอาศัยอยู่อำเภอๆ หนึ่งในโคราช ตอนนั้นยังเรียนอยู่มัธยมปลายครับ เป็นช่วงปิดเทอมพอดี แล้วผมก็ได้รู้จัก ส้ม (นามสมมุติ) คือเรียนที่เดียวกัน และบ้านอยู่ในระแวกเดียวกัน ส้มเองก็รู้จักกับครอบครัวผมด้วย อยู่มาวันหนึ่ง ส้มมาหาพี่สาวผมที่บ้าน บอกว่าจะมาขอยืมรองเท้าผ้าใบไปใช้ออกกำลังกายหน่อย พี่สาวผมก็ตกลง โดยเอารองเท้าไปซัก แล้วบอกส้มว่า พรุ่งนี้จะวางไว้หน้าบ้าน ส้มแวะมาเอาได้เลย เมื่อตกลงกันเรียบร้อย ส้มก็กลับบ้านไป แล้วเรื่องเศร้าก็เกิดครับ ส้มเดินทางไปเที่ยวกับเพื่อนแบบกระทันหัน โดยรถส่วนตัวคันใหญ่ ไปกันทั้งหมด 9 คน แต่กลับเกิดอุบัติเหตุ ยางรถระเบิดขึ้นมา ทำให้รถเสียหลักพุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ทำให้ส้มที่นั่งข้างคนขับกระเด็นออกจากรถ กระแทกพื้นเสียชีวิตทันที สรุปอุบัติเหตุครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิต 3 คน ที่เหลือบาดเจ็บสาหัส.. ผมได้ยินข่าวจากคนแถวบ้านแล้วรู้สึกเย็นที่เท้าขึ้นมายันท้ายทอยทันที เพราะเมื่อวานก็ยังยิ้มให้กันตามประสาคนรู้จัก วันนี้ส้มกลับมาเสียชีวิตกระทันหัน ผมทั้งเศร้า ทั้งสงสารครับ.. หลังจากวันเกิดเหตุ ผมเองเป็นคนกลัวผีมาก แต่กลับไม่รู้สึกกลัวส้มเลย อาจเพราะรู้จักกันมาน

เพื่อนไม่ได้รับเชิญ

รูปภาพ
.  เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ที่วิทยาลัยเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง คุณ N ไม่ได้เจอกับตัว แต่เป็นเพื่อนร่วมห้องที่เรียนมาด้วยกันเจอ ซึ่งคุณ N ก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นด้วยครับ.. และเรื่องนี้โด่งดังมากในวิทยาลัย จนสมัยนั้น อาจารย์ให้ปิดเรื่องไว้เป็นความลับ เพราะกลัวเด็กในวิทยาลัยจะกลัวกัน คุณ N เล่าให้ฟังว่า.. ห้องของผมนั้นมีประมาณ 30 กว่าคน เป็นนักศึกษาแผนกคอมพิวเตอร์ธุรกิจ วันนั้นพวกผมก็เรียนกันตามปกติ ไม่มีอะไร จนมาถึงวิชาสุดท้าย คือวิชาพิมพ์ดีด ซึ่งเป็นวิชาที่อาจารย์ค่อนข้างจะเข้มงวดมาก อาจารย์ให้พวกผมพิมพ์งานกันจนเสร็จ ถ้าใครพิมพ์ไม่เสร็จ ห้ามกลับบ้าน.. วันนั้นพวกผมอยู่พิมพ์งานกันจนถึง 6 โมงเย็น ซึ่งช่วงนั้น นักเรียนในวิทยาลัย ก็ทยอยกลับกันหมดแล้ว เพราะที่นี่เป็นวิทยาลัยเล็กๆ มีนักเรียนไม่มากนัก.. พวกผมพิมพ์งานกันไปเรื่อยๆ จนมันมีอยู่ช่วงนึงครับ จู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นธูปลอยผ่านจมูก กลิ่นแบบแรงมาก แต่ผมก็เงียบไว้ไม่พูดอะไร เพราะเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เค้าว่า ห้ามพูด ห้ามทัก เวลาเจออะไรแบบนี้.. แต่มีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนนึง เป็นคนอิสลาม เค้าก็พูดขึ้นว่า ‘เฮ้ย! มีใครได้กลิ่นธูปเหมือน

ใต้ประตูห้องน้ำ

รูปภาพ
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว วันนั้นคุณซีได้ไปดูหนังรอบค่ำ เป็นโรงหนังที่อยู่ชั้น 6 ของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง คุณซีเล่าว่า.. คืนนั้น ผมไปดูหนังกับเพื่อนอีกคน หลังจากที่ดูหนังจบ ก็สี่ทุ่มกว่าได้ ตอนนั้นร้านค้าต่างๆ ในห้างก็ปิดกันหมดแล้ว อยู่ๆ ผมรู้สึกปวดท้องขึ้นมา ต้องเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนั้นเลย โชคดีที่ยังมีห้องน้ำเปิดอยู่ ผมกับเพื่อนก็เข้าห้องน้ำไป พอเข้ามาห้องน้ำชาย ก็เห็นป้าแม่บ้านคนนึง น่าจะกำลังเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด อยู่ที่ห้องในสุด.. ผมก็ไม่สนใจ ปรี่เข้าห้องน้ำไปเลย.. ถ้าจำไม่ผิด ห้องน้ำน่าจะมีอยู่ประมาณ 8 ห้อง ผมเข้าห้องรองสุดท้าย โดยที่ห้องสุดท้ายรู้กันว่า จะไม่มีชักโครก มีแต่ก๊อกน้ำ ใช้สำหรับล้างอุปกรณ์ทำความสะอาดของแม่บ้าน.. ลักษณะห้องน้ำ ก็จะเหมือนกับห้องน้ำตามห้างทั่วไป แต่ค่อนข้างเก่า ประตูห้องน้ำก็จะมีช่องว่างที่เท้า สูงประมาณคืบหนึ่ง.. เพื่อนผม มันก็ยืนฉี่อยู่ที่โถฉี่ ส่วนผม ก็นั่งทำธุระไป เล่นเกมมือถือไป สักพักก็ได้ยินเสียงเพื่อนผมกดน้ำ และตะโกนมาว่า ‘เร็วๆ นะเว้ย กูไปรอข้างนอก’ ผมก็ตอบรับไป.. ระหว่างนั่งอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงเดินไป เดินมา

ส่งสาวกลับหอ

รูปภาพ
วันนั้นผมเพิ่งเลิกงานจากการทำโอทีในวันหยุด ผมกับเพื่อนๆ พี่ๆ ก็ไปนั่งดื่มกินกันต่อ ผมดื่มเบียร์ไป 2 แก้ว โดยที่วันนั้นเป็นวันพระใหญ่ แต่ผมก็ไม่ได้ถือสาอะไรสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยลบหลู่นะครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า พอกินกันเสร็จดึกดื่น ผมได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปส่งรุ่นพี่คนหนึ่งที่บ้าน แถวๆ ปทุมธานี เป็นซอยลึกเข้าไปพอสมควรครับ พอส่งเสร็จเรียบร้อย ระหว่างที่ผมขี่รถกลับออกมานั้น ผมเจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาตัดหน้ารถผม รถผมเป็นบิ๊กไบค์นะครับ ผมก็เบรคอย่างแรง เรียกว่าอีกนิดเดียวจะชนอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นเธอหันหน้ามาทางผม พอเห็นปุ๊บผมจำเลยว่าเป็นคนรู้จัก เธอทำงานอยู่ที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งซึ่งผมเคยไปเที่ยว และเธอก็เคยมานั่งบริการผม แต่สิ่งที่ผมเห็น บนหน้าเธอนั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ผมเลยถามไปว่า ‘ดึกแล้ว วันนี้วันเข้าพรรษาน่าจะหยุดไม่ใช่เหรอ?’ เธอตอบกลับมาว่า ‘หนูเพิ่งเลิกกับแฟน..’ สภาพที่ผมมองเธอรวมๆ แล้ว หน้าจะมีการใช้กำลังด้วย ดูเขียวช้ำเป็นจ้ำเต็มไปหมด ผมเลยให้เธอขึ้นซ้อน เพื่อจะได้พาไปส่งที่ห้อง เธอยิ้มให้ผมก่อนจะขึ้นมาซ้อนครับ พอถามเส้นทางเรียบร้อย ผมก็ออกรถไปเลย ระหว่างทางเราแทบไม่ได

ใต้เสาไฟฟ้าต้นนั้น

รูปภาพ
 เมื่อสมัยสาวๆ ป้านิทำงานอยู่ที่โรงหนังแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ต้องเลิกงานดึกๆ ทุกคืน แต่ถึงแม้จะเลิกดึก เพื่อนที่ทำงานด้วยกันก็ยังชอบชวนไปสังสรรค์ดื่มเหล้าเบียร์กันอยู่เรื่อยๆ ตามประสาวัยรุ่นเชียงใหม่.. แต่มีคืนหนึ่งหลังจากเลิกงาน พอดีวันนั้นตรงกับวันเกิดชองเพื่อนคนหนึ่ง เลยไม่พลาดที่จะต้องพากันไปฉลอง ก็นั่งดื่มกินกันจนดึกกว่าปกติ พอประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ ฝนก็เริ่มตกปรอยๆ ลงมา ป้านิเลยขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะเกรงว่าฝนจะตกหนักขึ้น แล้วจะขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับไม่ได้.. ระหว่างทางที่ป้านิขี่รถไป ก็ร้องเพลงไปด้วยตลอดทาง พอใกล้จะถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง ก่อนถึงแยกนั้นประมาณ 6-7 เมตร จะมีศาลตั้งอยู่ ถัดไปก็จะมีถังขยะแบบสมัยก่อน ที่เค้าใช้ยางรถมาทำ ถังขยะวางอยู่ใต้เสาไฟฟ้าพอดี จังหวะนั้นเป็นไฟเขียวอยู่ ขณะที่ป้านิขี่ผ่านศาลนั้นด้วยความเร็ว อยู่ๆ ก็รู้สึกวูบไปเฉยๆ.. ป้านิมารู้สึกตัวอีกทีคือมีคนมาปลุก ก็ตื่นขึ้นมาแบบงงๆ และรู้ว่าตัวเองขี่รถชนถังขยะตรงเสาไฟฟ้าอย่างจัง ยามที่ประจำตรงสี่แยกเป็นคนเห็นเหตุการณ์แล้ววิ่งมาดู มาปลุกป้านิ พอเห็นป้านิได้สติ ยามก็ถามคำแรกเลยว่า ‘แล้วเพื่อนไปไหน เพื่อนผู้

ไหว้ศาลพ่อปู่

รูปภาพ
 เมื่อประมาณ 6 ปีก่อน เราได้ย้ายมาอยู่แฟลตกับแฟนกับลูกที่ยังเล็ก ซึ่งเป็นแฟลตของทหารอยู่แถวประชาชื่นค่ะ แต่ห้องที่มาอยู่เป็นห้องของเพื่อนเราอีกทีนะคะ เขาไม่ได้อยู่ เลยให้เราเข้ามาอยู่แทน แต่เพื่อนเราก็จะไปๆ มาๆ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ค่ะ ที่นี่จะมีศาลอยู่ตรงทางเข้าแฟลต ซึ่งคนที่นี่ใครเข้า-ออกต้องยกมือไหว้ทุกครั้ง.. พอพวกเราเข้ามาวันแรก แฟนเราก็ชวนให้ไปไหว้ศาลกันก่อน แต่ด้วยความที่เรามีลูกยังเล็ก อายุแค่ขวบครึ่งเท่านั้น แฟนเราเลยบอกให้เราดูลูกรออยู่ในรถนี่แหละ เดี๋ยวเขาจะไปไหว้เอง แฟนเราก็ลงไปไหว้ด้วยมือเปล่านี่ล่ะค่ะ เสร็จแล้วก็พากันขึ้นห้อง ช่วงที่อยู่ที่นี่ ตอนกลางวันลูกเราก็ปกติดีค่ะ แล้วคืนนั้นช่วงค่ำๆ เราก็นอนอยู่กับลูก อารมณ์เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกได้ว่าลูกขยับตัวอยู่ข้างๆ แล้วสายตาเราก็มองไปที่ปลายเท้าของตัวเองค่ะ เห็นคนแก่ผู้ชายถือไม้เท้ามานั่งยองๆ อยู่ที่ปลายเท้าเรา! แกดูแก่มากจริงๆ ค่ะ จังหวะนั้นเรารู้สึกว่ามันเหมือนจริงมากๆ ไม่รู้ฝันหรือจริง.. เรารู้สึกตัวอีกทีก็คือ ลูกร้องไห้ลั่นห้องเลยค่ะ เหมือนลูกง่วงมาก แต่เขานอนไม่ได้อะไรประมาณนั้น อาการคือมองไปทั่วห้อง แล้วก็ชี

เกือบไม่รอดที่น้ำตก

รูปภาพ
เราเป็นคนมีสัมผัสที่ 6 มาตั้งแต่เกิดค่ะ เราไม่รู้ตัวหรอกนะคะ แต่เพราะผู้ใหญ่หลายๆ คนหรือแม้แต่พระก็มักจะทักเราเสมอ แม่บอกว่าที่เราเป็นแบบนี้ เพราะเราเป็นลูกของหลวงปู่.. คือสมัยตอนที่แม่ท้องเรา แม่ป่วยหนักมาก หมอบอกแม่ว่าให้เอาเราออกเถอะ เพราะเราคงจะไม่รอดแน่ๆ ถ้าไม่เสียชีวิตในท้อง ก็จะออกมาพิการทางสมอง หรือไม่ครบ 32 แบบคนอื่นเขา แต่ว่าพ่อเราไม่ยอมค่ะ พ่อเราเลยไปบนไว้หลายวัดมาก แทบจะทั่วประเทศที่เขาว่าดี ว่าจะยกเราให้หลวงปู่ทุกองค์ สุดท้ายเราก็ได้เกิดมา.. ตั้งแต่จำความได้ พ่อจะให้เราใส่สร้อยพระตลอดเวลา ห้ามถอดเด็ดขาด แม้เวลาอาบน้ำก็ห้ามถอด เราก็ไม่ได้อะไรตอนนั้นยังเด็ก ก็ทำตามมาตลอด.. จนเวลาผ่านไป เราโตขึ้นมาอายุสัก 8 ขวบ ก็มีเหตุการณ์เฉียดตายมากๆ ครั้งหนึ่งที่เราจำมาจนถึงทุกวันนี้.. วันนั้นเป็นวันรวมญาติกันไปเที่ยวน้ำตกกัน จำไม่ได้แล้วนะคะว่าที่น้ำตกไหน ไปกันเยอะมาก แล้วตอนนั้นเราจะสนิทกับพี่ผู้หญิงคนนึงอายุประมาณ 15 ปี ชื่อพี่เฟีย พอไปที่น้ำตก พวกผู้ใหญ่ก็บอกเด็กๆ ว่าให้เล่นน้ำกันระวังๆ นะ อย่าไปเล่นคนเดียว ซึ่งเราก็เชื่อนะ เลยไปเล่นกับพี่เฟีย และเด็กคนอื่นๆ อีก 5-6 คน.. ก่อนเรา

เขาเอากลับมาคืน

รูปภาพ
 เมื่อสักประมาณ 2 ปีก่อน ผมได้เข้าโรงพยาบาลแห่งหนึ่งแถวลาดกระบัง เนื่องจากผมเป็นไมเกรนหนักมากๆ ปวดหัวจนจะระเบิดออกมา หมอเลยบอกให้ผมนอนค้างเพื่อดูอาการสักคืน คืนนั้นเป็นคืนวันเพ็ญ พระจันทร์ส่องแสงสว่าง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะตรงกับวันพระใหญ่ด้วย ผมได้นอนอยู่ห้องรวมแผนกอายุรกรรมชาย ชั้น 5 เตียงหมายเลข 26 ซึ่งอยู่ติดกับหน้าต่าง อีกข้างเป็นลุงคนหนึ่งนอนอยู่ แลดูอาการแย่ๆ มีสายอะไรเยอะแยะเต็มตัวไปหมด และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมนอนโรงพยาบาลด้วยครับ ผมปวดหัวจนหลับไปตั้งแต่หัวค่ำ และตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ มีนางพยาบาล 2-3 คนนั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ ผมก็หันไปมอง ก่อนจะเดินตรงไปเข้าห้องน้ำ.. ผมเลือกเข้าไปนั่งห้องแรกครับ ทุกอย่างเงียบสงัดราวกับไม่มีใครอยู่เลย ผมนั่งเล่นมือถือไปสักพัก ก็ได้ยินเสียงคนเดินลากขาเข้ามา ค่อยๆ เดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดที่หน้าห้องผม ผมก็มองผ่านช่องใต้ประตู คิดในใจ ‘ใครวะมายืน?’ คือเห็นแค่ข้อเท้าเหี่ยวๆ น่าจะเป็นคนแก่อายุราวๆ 60-70 ปี แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร นั่งเล่นมือถือต่อไปเรื่อยๆ พอก้มลงดูอีกที ก็ยังเห็นเขายืนอยู่เหมือนเดิม.. ผมก็เริ่มสงสัยละว่าใครวะ? แต่ในใจตอนนั

หนึ่งคืนในสุราษฎร์ฯ

รูปภาพ
 3 ปีที่ผ่านมาช่วงวันหยุดยาว ผมมีโอกาสได้ไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปคนเดียวครับ ไม่ได้จองโรงแรมไว้ด้วย กะว่าไปหาเอาที่นั่นเลย ผมนั่งรถไฟไป พอไปถึงก็เดินหาโรงแรมในตัวเมืองก่อนเลย ซึ่งปรากฏว่าเต็มหมด ตอนนั้นนี่ท้อเลยครับ ไม่รู้จะไปนอนไหน พอดีพี่คนขับรถสองแถวเค้าแนะนำมา บอกว่ามีที่ตลาดอยู่โรงแรมนึง เดี๋ยวพาไป ผมก็ตกลงไปก็ไป.. พอไปถึง ลักษณะโรงแรมก็กลางๆ ไม่เก่าไม่ใหม่ ผมก็ไปเช็คอิน แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปดูห้อง ฝากของไว้ที่ล็อบบี้โรงแรม และไปหาอะไรกิน เดินเล่น ถ่ายรูปจนเย็น ค่อยกลับมาที่โรงแรม ลักษณะห้องเปิดเข้าไปจะเป็นห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือ มองตรงไปจะเป็นที่นอน ขวามือที่นอนจะเป็นกระจกบานใหญ่ ซ้ายมือเป็นหน้าต่างมีผ้าม่านปิดไว้.. ผมเข้าห้องมาก็อาบน้ำ แล้วมานอนเล่นโทรศัพท์จนหลับไป นานแค่ไหนก็จำไม่ได้นะครับ.. แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝักบัวเปิดครับ ตอนนั้นไฟในห้องปิดหมดเหลือแต่ไฟในห้องน้ำ ผมก็เลยลุกเดินไปดู แต่ปรากฏว่าพื้นกลับแห้ง ก็คิดว่าคงหูฝาด เลยกลับมานอนต่อ ..แต่พอนอนไปได้สักพัก ก็ได้ยินอีกครับ เสียงเปิดฝักบัวดัง ‘ซู่’ เลย ผมหยิบโทรศัพท์มาดูเวลา ประมาณเที่ยงคืนพอดี ผมเลยเดินไปดูอีกครั้ง คราวนี

ปอบเมืองสุรินทร์

รูปภาพ
 เราเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ อยู่แถบอำเภอสำโรงทาบค่ะ เรื่องเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่นานนี้เอง คือคนเฒ่าคนแก่ที่หมู่บ้านเราเขาบอกกันว่า ในหมู่บ้านเราจะมีวิญญาณร้าย หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘ผีปอบ’ แต่เราก็ไม่เคยเจอ ไม่เคยสนใจนะ จนกระทั่งเราตั้งท้องและคลอดลูกค่ะ.. วันนั้นเป็นวันที่เราออกจากโรงพยาบาลมาวันแรก เรากลับมาถึงบ้าน บ้านเราจะมี 2 หลังติดกัน เป็นบ้าน 2 ชั้น กับบ้านน็อคดาวหลังเล็ก เราก็พาลูกไปนั่งเล่นที่บ้านเล็กเพราะลมเย็น ระหว่างนั้นก็มีชาวบ้าน รวมถึงยายแก่คนหนึ่งมาเยี่ยมเรากับลูกที่บ้าน เป็นคนในหมู่บ้านเรานี่แหละ แต่พอแม่เราเห็นก็บอกเราว่า ‘เขาลือกันว่ายายคนนี้ล่ะ..เป็นปอบ’ แต่ก่อนที่ยายเขาจะมานั้น แม่เราได้ไปเอาว่านไพรที่เขาว่ากันผีได้ มาใส่ไว้ใต้ที่นอนของลูกเรา ยายคนนั้นก็ดูจะไม่กล้าเข้ามาใกล้นะ เขายืนข้างนอกแทน ทั้งๆ ที่ชาวบ้านทุกคนเข้ามาข้างในหมด แล้วพอก่อนยายเขาจะกลับ เราเห็นเขาจ้องที่ลูกเราตาแข็ง จ้องแบบไม่กระพริบตาเลย.. พอตกเย็น ลูกเราร้องไห้ไม่หยุดเลยค่ะ วันนั้นแฟนเราออกไปกินเหล้ากับเพื่อนด้วย โทรหาก็ไม่รับสาย จนถึงดึกประมาณ 5 ทุ่มน่าจะได้ ลูกเราก็ยังร้องไม่หยุด เราเลยตัด

โรงแรมใหม่ชายแดน

รูปภาพ
 มีครั้งหนึ่งตอนไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อน เป็นเมืองติดชายแดนแห่งหนึ่งที่คนไทยยังไม่นิยมไปเท่าไร เลยมีโรงแรมให้เลือกไม่เยอะ พอไปถึงเขาบอกว่าโรงแรมนี้ใหม่มากไม่ต้องกลัวอะไร ตอนถึงโรงแรมก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว เลยไม่ได้สำรวจอะไร พนักงานบอกว่าลิฟท์เสียต้องเดินขึ้นบันได ห้องที่เราพักเป็นห้องเบอร์ 314 ค่ะ ประเด็นคือโรงแรมนี้จะมีห้อง 311, 312 แล้วข้ามไป 314 เลย อาจจะเพราะเลข 13 มันไม่ดีคนเค้าถือ แต่ถ้านับจริงๆ ห้อง 314 มันก็คือห้อง 313 นั่นแหละ.. แต่ห้อง 314 จะเป็นห้องที่กว้างที่สุดของโรงแรม ระหว่างเดินก็สงสัยว่าทำไมโรงแรมนี้ไม่มีหน้าต่างตรงบันไดทางขึ้นเลย ปิดทึบแบบตึกพาณิชย์มากๆ พอมาถึงห้อง ก่อนพนักงานจะไปเค้าก็บอกว่า ห้ามเปิดระเบียงนะ ข้างหลังเป็นป่า มีแมลงเยอะ.. ตอนนั้นสงสัยค่ะ แต่ไม่กล้าถามอะไร สิ่งแรกที่รู้สึกคือห้องเหม็นเหล้าจีนมาก กลิ่นควันบุหรี่คลุ้งไปหมด ก็คิดว่าคงเพิ่งลงทัวร์จีนมา เราวางกระเป๋าได้แป๊บเดียวมาเลยค่ะ! ได้ยินเสียงเหมือนคนคุยกันตรงระเบียง แบบซุบซิบๆ แต่พอเดินไปใกล้ๆ ระเบียงก็เงียบไป จะเปิดดูก็ไม่กล้าอีก เพราะพนักงานเตือนไว้.. แบบนี้ประมาณ 4-5 รอบ เราเริ่มไม่โอเคละ ม

ผู้หญิงที่กุฏิ

รูปภาพ
 เมื่อเมษายน ปี 2555 ตอนนั้นผมเพิ่งบวชเป็นสามเณร อยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ พอทำพิธีบวชเสร็จ ก็ขนสัมภาระขึ้นกุฏิ ตอนเย็นผมก็มาสวดมนต์พร้อมกับเณรอีก 10 รูป สวดตั้งแต่ประมาณ 6 โมงครึ่งถึง 2 ทุ่ม พอสวดเสร็จ ผมก็กลับเข้ากุฏิเพื่อที่จะจำวัดนอน คืนแรกที่นอน ผมหลับไปถึงตีอะไรก็ไม่แน่ใจครับ และก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะมีเสียงเหมือนคนเดินไปเดินมาอยู่หน้ากุฏิ ผมเลยเปิดออกมาดู ก็ไม่มีอะไร.. ก็กลับเข้ามานอนต่อ แต่นอนไปได้สักพักหนึ่ง ก็มีเสียงเหมือนเดิมครับ เสียงเท้าคนเดินไปเดินมา เป็นอย่างนี้กว่า 12 วัน แต่พอคืนที่ 13 ซึ่งมันตรงกับวันศุกร์ คืนนั้นผมกลับมาที่กุฏิก่อนคนเดียว เนื่องจากว่าผมไม่สบาย ตอนที่ผมเดินกลับมาที่กุฏิอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ก็เริ่มหวั่นๆ แต่คิดว่าคงหูแว่ว เลยรีบขึ้นกุฏิไปนอนทันที ผมหลับไป จนกลางดึกก็ต้องตื่นขึ้นมา เพราะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้อีกครั้ง แต่คราวนี้ร้องโหยหวนดังมากๆ เหมือนจะเป็นจะตายให้ได้ และเสียงเหมือนอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ผมก็คิดว่าต้องเจออะไรเข้าแล้วแน่ๆ ตอนนั้นผมอยู่ในท่านอนตะแคงซ้าย หันหลังในให้ประตูกุฏิ และผมมีความรู้สึกอย่างแรง ว่าไม่ได้นอ

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำต้นไม้

รูปภาพ
ท้าวความก่อนนะ คือว่าบ้านยายเราตั้งแต่สมัยรุ่นทวด เค้ายกที่ดินของบ้านส่วนหนึ่งให้กับวัด ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้บ้านยายเราคือติดกับวัด ติดแบบแนบชิดเลยค่ะ แล้วที่วัดนี้จะมีป่าช้าอยู่อีกฝั่งหนึ่ง คนละฝั่งกับบ้านยายเรา ส่วนอีกด้านหนึ่งซึ่งติดกับบ้านยายเราจะเป็นป่ารก และเรื่องมันก็เกิดขึ้นที่ป่าฝั่งนี้ล่ะค่ะ เมื่อประมาณ 2 เดือนก่อน พระที่วัดได้มาขอให้พ่อเราไปช่วยตัดต้นไม้ในป่าให้หน่อย เพราะจะทำการปรับปรุงสถานที่วัดสร้างกุฏิเพิ่ม ส่วนไม้ที่ตัดทิ้งไปจะยกให้เอาไปเผาถ่านขาย.. ทีแรกแม่กับยายเราไม่ยอมจะปฏิเสธให้ได้ แต่สุดท้ายไม่รู้ยังไง พ่อกับพี่สาวเรากล่อมจนแม่กับยายยอม.. วันต่อมา ก็เข้าไปตัดต้นไม้กัน มีเรา พ่อ แม่ ยาย พี่สาว พี่เขย และก็หลานชายวัย 3 ขวบ.. วันแรกก็เริ่มจากต้นกฐินเล็กๆ น้อยๆ รอบนอก ไม่มีอะไร พอวันที่ 2 นี่สิ วันนี้ตัดลึกเข้าไปในป่าซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเยอะมาก เดินกันเข้าไปไม่นาน หลานชายก็สะกิดเราว่า ‘พี่ปายๆ ใครก็ไม่รู้เยอะแยะเลย ยืนดูอยู่..’ ไอ้เรานี่หันขวับเลย แต่ก็ไม่เห็นมีใคร หลานก็ยังยืนยันว่ามี แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ตัดกันไปเรื่อย.. จนมาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มันคือต้นผู