บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2019

ความลับของแฟน

รูปภาพ
 เมื่อ 5 – 6 ปีที่ผ่านมา สมัยนั้นผมเรียนอยู่ปี 2 ที่สถาบันชื่อดังแห่งหนึ่งย่านจัตุจักร ก็มีรุ่นน้องคนนึง ที่พึ่งจบ ม.ปลายมาสมัครเรียน ผมบังเอิญเจอตอนพักเที่ยงพอดีครับ น้องเค้ามาถามทางไปห้องจำหน่ายใบสมัคร ลักษณะของน้องคือ ขาว หมวย สวย น่ารัก สเปคผมเลย.. ผมก็เลยใช้โอกาสนี้ขอเบอร์ซะเลย.. หลังจากนั้น ผมก็โทรไปจีบเลยครับ จีบได้สักพัก จนสุดท้ายก็ได้คบกันเป็นแฟน ซึ่งก็ไปกันได้ดีทีเดียว คบกันไปได้ประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นพวกเรากลับบ้านดึกกันทุกวันเลย จนมีอยู่วันนึง น้องก็ชวนผมไปนอนที่บ้านตอนกลางคืนครับ.. ประมาณ 5 ทุ่ม เที่ยงคืน หมู่บ้านของน้องเค้าเป็นหมู่บ้านใหญ่ สมัยนั้นยังเป็นถนนเล็กๆ 2 เลน ข้างทางเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา และต้นไม้ ตอนกลางคืนเงียบ และก็น่ากลัวสุดๆ ครับ.. พอไปถึงบ้านน้อง ผมก็ต้องรอให้พ่อแม่น้องเค้าหลับก่อน ถึงค่อยปีนรั้วเข้าไปได้ โดยน้องเค้าจะเปิดประตู ดูต้นทางให้.. นอนคืนแรกก็ปกติดีไม่มีอะไร แล้วพอใกล้เช้า ผมก็ต้องรีบออกมา.. จากนั้นมา ผมก็มาค้างที่บ้านน้องเค้าบ่อยๆ ครับ มาเวลาเดิมตลอด บางคืนพ่อแม่น้องเค้านอนดึก ผมก็ต้องนั่งรอที่สวนสาธารณะของหมู่บ้านคนเดียว และในสวนนี่มีศาลตา

เด็กน้อยที่ตามมา

รูปภาพ
เมื่อสัก 5 ปีก่อน ผมทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และได้รู้จักกับ เมย์ ซึ่งเป็น PR ที่ร้านนั้น เมย์หน้าตาดี รูปร่างดี ผมชอบมากๆ เลยเดินหน้าจีบเมย์อย่างจริงจัง และสุดท้าย ผมกับเมย์ก็ได้เป็นแฟนกันครับ.. ผมกับเมย์คบกันอยู่ได้ประมาณ 8 เดือน แต่สุดท้ายก็มีปัญหา จนทำให้เราต้องเลิกกันไป และหลังจากนั้นประมาณ 1 ปี ก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับผมครับ ช่วงนั้นผมเช่าห้องอยู่คนเดียว และผมก็ได้มาเจอกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ชื่อเตย ช่วงแรกๆ ผมก็โทรจีบเตย คุยกันบ่อยๆ ครับ แต่ระหว่างที่โทรคุยกัน เตยมักจะถามผมว่า ‘อยู่กับหลานเหรอ? เสียงเด็กหัวเราะลั่นห้องเลย..’ ผมก็งง เพราะผมไม่ได้ยินอะไรเลย ทีวีก็ไม่ได้เปิด เลยบอกปัดไปว่า คงเป็นเสียงเด็กข้างห้องนั่นล่ะ ก็ยังไม่ได้คิดอะไรครับ.. จนมีอยู่วันหนึ่ง เตยได้มานอนค้างที่ห้องผม และบ่ายนั้นเอง เพื่อนผมโทรมาจะชวนไปเตะบอล ผมกำลังเก็บของเลยเปิด Speaker phone ไว้ เพื่อนผมก็ถามว่า ‘เสียงเด็กที่ไหนวะ เล่นกับเด็กที่ไหนอยู่ หัวเราะหนวกหูเลย..’ ผมกับเตยมองหน้ากันทันทีโดยไม่ได้นัดหมายเลยครับ สรุปว่าวันนั้นผมไม่ได้ไปเตะบอลละ แต่ถูกเตยลากไปหาพระที่วัดแทน.

หญิงท้องแก่

รูปภาพ
สมัยนั้นอยู่ต่างจังหวัด เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีสวน มีไร่เยอะ ป่าข้าวโพดก็เยอะ และจะมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ใช่ภูเขาลูกใหญ่โตอะไรนัก มีถนนลัดเลาะผ่านเขาไปได้ ชาวบ้านจะเรียกกันว่าเนินเขาซะมากกว่า เส้นทางโค้งข้ามเนินเขาตรงนี้ ชาวบ้านต้องใช้เดินทางไปตลาด ออกถนนใหญ่กันเป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่ง ชาวบ้านที่หาหน่อไม้ ทำไร่ ทำสวนก็มายืนดูกัน เนื่องจากมีชาย 2-3 คน ลงมาจากรถกระบะคันหนึ่ง และได้นำศพผู้หญิงท้องแก่มา เพื่อจะเอามาฝังไว้บนยอดเขานั้น ชาวบ้านไม่รู้ว่าอะไรยังไง ก็ได้แต่งง ว่าทำไมถึงต้องมาฝังตรงนี้? เค้าก็แอบดูกัน จนพอฝังเสร็จ รถคันนั้นก็ขับออกไป.. ชาวบ้านที่เห็นก็ไม่กล้าพูด กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เลยได้แต่เงียบๆ กันไว้ไม่บอกใคร.. เวลาผ่านไปไม่นาน วิญญาณเฮี้ยนของผู้หญิงท้องแก่คนนี้ ก็ออกมาหลอกหลอนชาวบ้านบริเวณเขาลูกนั้น ใครผ่านไปผ่านมา โดนกันหมด เห็นมาเดินตัดหน้ารถบ้าง มาโบกรถบ้าง อยู่บนเนินเขาเป็นเงาคนท้องยืนอยู่บ้าง.. ชาวบ้านที่ต้องไปตลาด ก็มักจะเลี่ยงเส้นทางนี้ ยอมอ้อมไปทางอื่น จนไม่มีใครอยากผ่านเนินเขานั้น.. จนนานวันเข้า เรื่องมันก็เก็บไม่อยู่ แพร่กระจายไปหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน จน

ผีบ้านมาขอลูก

รูปภาพ
 พ่อแม่เราแต่งงานกันตอนที่แม่อายุได้ประมาณ 18 ปี (คนสมัยก่อนแต่งงานกันเร็ว) พอแต่งงานกันได้ไม่นาน แม่เราก็เริ่มตั้งท้อง ระหว่างตั้งท้องก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งท้องแก่ใกล้คลอด แม่เรามักจะฝันเห็นผู้หญิงแก่คนหนึ่งบ่อยๆ ทุกครั้งที่ฝันถึง เขาจะมาบอกว่า ‘ลูกคนนี้กูขอนะ..’ จนถึงวันที่แม่ปวดท้องคลอด ไปถึงโรงพยาบาลแม่ก็คลอดด้วยวิธีธรรมชาติ หลังจากเบ่งอยู่นาน แม่ก็ได้ยินเสียงเด็กร้อง แม่ดีใจมากเมื่อรู้ว่าลูกปลอดภัยแล้ว และด้วยความเหนื่อยล้าแม่ก็หลับไป.. แต่ระหว่างที่หลับ แม่ก็ฝันถึงผู้หญิงแก่คนเดิมอีกครั้ง คราวนี้เขาจูงเด็กผู้หญิงหน้าตาน่าชังมาด้วย พร้อมกับบอกแม่เราว่า ‘กูมาเอาแล้วนะ มึงต้องให้กู แล้วกูจะให้พวกมึงอยู่สบายๆ..’ ทีนี้แม่เราก็ตกใจตื่น รีบร้องหาพยาบาลขอดูลูก พยาบาลก็อุ้มเข้ามาให้ แต่บอกกับแม่ว่า ‘ลูกของคุณดูไม่ค่อยปกติ ตัวซีดๆ หมอตรวจเช็คก็ไม่เจออะไรผิดปกติ นี่ก็เพิ่งเอาออกมาจากตู้อบ..’ แม่เราอุ้มลูกไว้แล้วให้นมอยู่สักพัก ก็ต้องเอาลูกคืนพยาบาลไป แต่หลังจากนั้นไม่นาน ลูกก็เสียค่ะ โดยที่แพทย์ก็ระบุไม่ได้ว่าเกิดจากอะไร เพราะตอนคลอดร่างกายเด็กก็แข็งแรงดี เรื่องนี้ทำให้แม่เราแ

เจ้ากรรมนายเวร

รูปภาพ
มันเป็นเรื่องตั้งแต่สมัยเราเป็นเด็กทารกเลย เราจำความอะไรไม่ได้หรอก เพราะแม่เราเป็นคนที่เจอ แม่เคยเล่าให้เราฟังว่า ตอนที่แม่ท้องเรา แม่แพ้ท้องอย่างหนักมาโดยตลอด กินอะไรก็กินไม่ได้ นอนก็นอนไม่หลับ เจ็บป่วยกระเสาะกระแสะ อ้วกทั้งวันทั้งคืน อาบน้ำยังต้องอาบแต่น้ำเปล่า เพราะได้กลิ่นอะไรก็จะเหม็นไปหมด.. จนถึงช่วงท้องได้ประมาณ 5-6 เดือน แม่ก็เริ่มเห็นเงาของหญิงแก่ มวยผม หลังค่อมๆ ผอมซูบ ยืนอยู่นอกหน้าต่าง คือแม่มองออกนอกหน้าต่างตอนกลางคืน ไฟในห้องปิดหมด แล้วเห็นเงาผ่านแสงจันทร์มากระทบกับผ้าม่านน่ะค่ะ แม่บอกว่าแม่เห็นแบบนั้นทุกคืน คือมายืนนิ่งๆ ท่าเดิม แต่ด้วยความที่แม่เราไม่กลัวผี ก็เลยไม่ใส่ใจ พยายามนอน เพราะปกติก็นอนไม่ค่อยจะหลับ.. แต่ที่แปลกก็คือ พอยิ่งท้องแก่ใกล้คลอด แม่เราก็เห็นหญิงแก่คนนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น และใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จากที่เห็นเงาที่ด้านนอกหน้าต่าง ก็กระเถิบมาเป็นมุมห้อง จากมุมห้องก็กลายเป็นกลางห้อง จากกลางห้องก็กลายเป็นปลายเตียง หรือมักจะเห็นตามมุมอับๆ ชื้นๆ แล้วก็จะมาให้เห็นในลักษณะยืนนิ่งๆ ไม่พูด ไม่ขยับ แต่มองมาที่แม่ตลอดค่ะ.. แม่บอกลักษณะเหมือนผีไทยโบราณ ที่แก

สยองโคลนถล่ม

รูปภาพ
 เป็นเรื่องของพ่อแม่เราเองค่ะ ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อปี 2549 เป็นปีที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ทั้งน้ำท่วม ทั้งโคลนถล่มที่อำเภอลับแล ผลจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมากค่ะ ด้วยความที่พ่อเราเป็นคนทำงานรับเหมา ต้องไปทำการซ่อมแซมเสาไฟฟ้าที่ชำรุดในที่ต่างๆ และได้ไปทำที่อำเภอลับแลด้วยเช่นกัน หลังจากพ่อทำงานกลับมา พ่อกับแม่ก็เข้านอนตามปกติ แต่คืนนั้นแม่เรานอนไม่หลับ มีความรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ ไม่สบายใจแปลกๆ พอนอนไปอีกสักพัก แม่ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ค่ะ ดังมาจากข้างล่างทางหน้าบ้าน แม่เราเลยเปิดหน้าต่างมองลงไปหาต้นเสียง ก็เห็นเป็นผู้หญิงผมสั้น ใส่ชุดคลุมท้องสีขาว กำลังนั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ที่หน้าบ้าน แม่เรารู้ทันทีเลยว่าโดนแล้วแน่ๆ เพราะตอนนั้นเวลาตี 3 ละแวกบ้านเราก็เปลี่ยวๆ ไม่มีทางที่จะมีผู้หญิงมานั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่แน่ๆ แม่เราเลยปลุกพ่อให้ช่วยลงไปเอาสร้อยพระมาห้อยคอ หลังจากนอนไปได้อีกสักพัก แม่ก็ได้ยินเสียงอีกค่ะ คราวนี้เสียงเหมือนคนเอามือมาข่วนไม้ บ้านเราเป็นบ้าน 2 ชั้น ชั้นบนเป็นไม้ค่ะ ด้วยความที่แม่เราอยากรู้ เลยลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างดูอ

วัลลี ยากุ

รูปภาพ
เรื่องนี้มาจากการรวบรวมข้อมูลความเฮี้ยนของ วัลลี ยากุ จากข่าวต่างๆ รวมถึงคนใกล้ชิดที่เคยพบเจอเหตุการณ์ โดยคุณ Natthaphat Phothisat สมาชิกกลุ่ม  TheHOUSE  เล่าว่า.. จากเรื่องจริงที่กลายเป็นตำนานความเฮี้ยนของผีตายทั้งกลมในยุค 4G.. วัลลี ยากุ หญิงสาววัย 19 ปี อุ้มท้องแก่ใกล้คลอด ในมือจูงแขนลูกน้อยวัย 3 ขวบไว้แน่น เธอยืนเหม่อลอยอยู่กลางถนน 6 เลนที่รถสัญจรผ่านไปมาอย่างคับคั่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติของถนนสายพระราม 2 (ลงใต้) ตาของเธอแดงก่ำจากน้ำตา เพราะความหวังที่จะได้พบหน้าสามีสุดที่รักนั้นเหลือน้อยเต็มที ‘พี่จ๋า.. นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้กลับบ้าน?’ สิ้นเสียงความคิดในหัว ‘โครมมม!!!’ รถยนต์พุ่งชนร่างของเธอที่กำลังข้ามถนนเข้าอย่างจัง กระเด็นลอยไปไกล ซ้ำร้ายถูกรถที่ตามมาทับลากไปอีกหลายร้อยเมตร ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์กรีดร้องอย่างโกลาหลเพราะภาพความสยดสยองของศพที่อยู่ต่อหน้านั้นเกินจะรับไหว.. วัลลี ยากุ คือสาวอาภัพ ที่ออกตามหาสามีที่ออกจากบ้านมาหางานทำในเมือง แล้วหายหน้าไป เธอทราบเพียงว่ามาทำงานในระแวกจังหวัดสมุทรสาคร เธอจึงตัดสินใจออกตามหาพร้อมกับหอบลูกน้อยวัย 3 ขวบ กับอีก 1 ในท้อง เพื่อมา

หญิงท้องแก่ที่บันได

รูปภาพ
สวัสดีค่ะเราชื่อภีม เป็นทอมนะคะ ย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีก่อน เรากับแฟนทำงานกันที่โรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ก็เลยตัดสินใจหาอพาร์ทเม้นท์อยู่ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน ก็ไปเจอที่นึง ด้วยความที่ค่าห้องถูก และสะอาด ก็เลยตัดสินใจเลือกที่นี่ พอเคลียร์ค่ามัดจำเสร็จสับ ก็ขนของเข้าอยู่เลย อพาร์ทเม้นท์ที่เราพักอยู่จะมีทั้งหมด 6 ชั้น เราได้ห้องอยู่ชั้น 5 ซึ่งเหลือว่างอยู่เพียงห้องเดียว เราเข้าอยู่ได้ 1 อาทิตย์ ก็ไม่มีอะไร พออาทิตย์ที่ 2 ก่อนจะออกไปทำงาน ช่วงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น เรากับแฟนกำลังจะเดินลงบันได จู่ๆ ก็มีผู้หญิงท้องแก่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเเซงลงไป เราก็แปลกใจนิดหน่อยว่าผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน? ถ้าอยู่ห้องติดบันได ทำไมไม่ได้ยินเสียงเปิดปิดประตู แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เดินลงบันไดมาจนถึงชั้น 2 ก็เห็นผู้หญิงท้องแก่คนเดิมนั่งร้องไห้อยู่ที่บันได เราจะเข้าไปถามก็กลัวจะถูกหาว่ายุ่ง เลยเดินผ่านเขาไป.. พอผ่านไปอีกวันหนึ่ง ช่วงเวลาเดิมที่เรากับแฟนกำลังจะเดินลงบันไดเพื่อไปทำงาน เราก็เจอผู้หญิงท้องคนเดิมวิ่งแซงลงไป แล้วไปนั่งร้องไห้ที่บันไดชั้น 2 เหมือนเดิม เรากับแฟนเจอเหตุกา

ผีในห้องน้ำวัด

รูปภาพ
เรื่องนี้เกิดขึ้นประมาณ 10 กว่าปีก่อนได้แล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเอง แต่เกิดขึ้นกับแม่ของผม พอผมโต แม่ก็เอามาเล่าให้ฟังครับ.. ย้อนกลับไปตอนนั้นผมยังไม่เกิดครับ และแม่กำลังท้องผมอยู่ วันนึง ครอบครัวผมก็มีแพลน ว่าจะไปทำบุญที่วัดวัดหนึ่ง ในจังหวัดกาญจนบุรี ไปกันทั้งครอบครัวเลยครับ ก็ออกเดินทางกันไป.. พอถึงวัด พี่สาวของผมเกิดปวดฉี่ เลยขอเข้าห้องน้ำ ลักษณะห้องน้ำที่วัดนี้จะเป็นแบบรูปตัว T พอเราเดินเข้าไปปุ๊บ จะมีแยกซ้ายกับขวา และมีห้องน้ำเรียงต่อกันยาวเป็นบล็อคๆ พี่สาวผมตัดสินใจเลี้ยวเข้าห้องน้ำทางฝั่งขวามือ ห้องในสุด ทำธุระเสร็จก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น.. จนกระทั่งผ่านไป ทำบุญอะไรกันเรียบร้อย แม่ผมก็ขอไปเข้าห้องน้ำบ้าง แม่ตัดสินใจเข้าห้องน้ำทางฝั่งซ้ายมือ ซึ่งก่อนที่แม่จะเข้าห้องน้ำ แม่จะทำการเช็คสภาพห้องน้ำแต่ละห้องก่อนทุกครั้ง เช่นห้องน้ำนี้ประตูมีรูมั้ย.. สะอาดมั้ย.. จนกระทั่งแม่ผมก็ตัดสินใจ เข้าห้องน้ำห้องในสุดซ้ายมือ ที่ดูสะอาด สมบูรณ์กว่าห้องอื่น แม่ผมก็ทำธุระไปไม่มีอะไร แต่พอเสร็จจะเปิดประตูออก.. ประตูกลับเปิดไม่ออก.. บิดลูกบิด แก่กๆๆ ยังไงก็ไม่ออก.. แม่ผมบอกว่าไม่เหมือนประตูติ

ร.ด. สยอง

รูปภาพ
นัท และ วิน เรียนอยู่ชั้น ม.6 ทั้งคู่ลงเรียน รด. และวันมะรืนนี้ก็จะต้องไปเขาชนไก่เพื่อฝึกภาคสนามเป็นเวลา 5 วัน 5 คืน วินซึ่งติดธุระด่วนกับทางบ้าน จึงได้ทำเรื่องแจ้งขอไม่เดินทางไปพร้อมกับทุกคนในช่วงเช้า แต่จะเดินทางตามไปด้วยตนเองในช่วงเย็นแทน.. เมื่อถึงวันเดินทาง รถออกเดินทางจากกองพันทหารราบที่ 11 เวลา 8 โมงเช้า และไปถึงเขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี เวลาเที่ยงกว่าๆ ซึ่งนัทและเพื่อนๆ ร่วมชั้นทั้งหมดก็ต้องจัดข้าวของ และทำการฝึกในทันที ใครที่เคยมาฝึกจะรู้ดีว่าทั้งร้อน และทั้งฝุ่นเยอะมาก เมื่อการฝึกต่างๆ ผ่านไปจนถึงช่วงทานอาหารเย็น นัทซึ่งเป็นไข้หวัดใหญ่อยู่ก่อนหน้านี้ เริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นลม หน้าซีด เพื่อนที่เห็นเลยไปแจ้งครูฝึก ทำให้นัทต้องถูกแยกไปพักที่ห้องพยาบาลจนกว่าอาการจะดีขึ้น คืนนั้น.. ทุกคนกางเต๊นท์นอนในสนาม ส่วนนัทนอนที่ห้องพยาบาล โดยที่ข้างเตียงนัทคือเพื่อนจากอีกโรงเรียนหนึ่งที่ป่วยจากการฝึกเช่นกัน เวลาประมาณ 5 ทุ่ม นัทตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำข้างห้องพยาบาล ซึ่งห้องน้ำตรงนี้มีอยู่ห้องเดียว และมีคนกำลังเข้าอยู่ นัทรอสักพักประตูก็เปิดออก เป็นวินเดินออกมา นัททักทายวินที่เพิ่ง

ตำนานหญิงสาวปากฉีก

รูปภาพ
เนื่องจากแอดมินจะเดินทางไปญี่ปุ่นในวันพรุ่งนี้ คืนนี้เลยจะขอเล่าตำนานของผีญี่ปุ่นให้ฟัง ชื่อว่า  ‘หญิงสาวปากฉีก’ (口裂け女)  ครับ.. เรื่องราวสยองขวัญของสาวปากฉีกในตำนานดั้งเดิมนั้น ปรากฏในสมัย เฮอัง โดยสมัยนั้นมีหญิงสาวรูปงาม ซึ่งเป็นภริยาของซามูไรนายหนึ่ง แต่เธอไม่ซื่อตรงต่อสามี เมื่อสามีรู้เข้า ด้วยความหึงหวงจึงโกรธแค้นเธอเป็นอย่างมาก ชักดาบฟันปากของเธอจนฉีกขาดถึงใบหู เพื่อเป็นการทำลายความงามของเธอเสีย แล้วพูดต่ออีกว่า ‘ดูต่อไปเถิด ว่าคนเขาจะเห็นว่าเจ้ายังงดงามอยู่อีกหรือไม่!’ ..สุดท้ายเธอคนนั้นก็ตรอมใจฆ่าตัวตาย แต่ด้วยใจที่พยาบาทสามี เธอจึงไม่ไปผุดไปเกิด กลับกลายเป็นผีร้ายมาแก้แค้น และหลอกหลอนผู้คนทั่วไป.. หญิงสาวปากฉีกกลับมาเป็นที่ร่ำลือกันอีกครั้งในต้นพุทธทศวรรษที่ 2500 ว่ากันว่า เคยมีเด็กนักเรียนบางคนที่เดินอยู่ลำพังในยามวิกาล ได้พบหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมหน้ากากอนามัย หญิงสาวคนนั้นจะหยุดเดินตรงหน้า และถามเด็กคนนั้นว่า ‘ฉันสวยไหม?’ ถ้าตอบว่า ‘สวย’ หญิงสาวคนนั้นก็จะถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นปากที่ฉีกขาด และถามอีกครั้งว่า ‘แล้วแบบนี้ล่ะ?’ เด็กที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหญิงสาวปากฉีก จะพ

โจ บอยสเก๊าท์

รูปภาพ
 ตอนนี้เราได้มาเล่นดนตรีอยู่ที่สปป.ลาวค่ะ ทางร้านที่เราเล่นได้มีการจัดคอนเสิร์ทของวง  บอยสเก๊าท์  ซึ่งก่อนหน้าถึงวันงาน 7 วัน ก็ได้รับข่าวไม่ดีของพี่โจ หนึ่งในสมาชิกวง พวกเรารู้เรื่องกันก่อนที่ข่าวจะลง เพราะพวกนักดนตรีวงในส่งข่าวกันมาก่อน ทางร้านก็เลยลุ้นว่า พี่ต๊ะ กับ พี่ดิ๊บ จะยกเลิกงานคอนเสิร์ทไหม สรุปว่าไม่ยกเลิกค่ะ พี่ๆ ทั้งสองยังคงมากัน โดยวงเราต้องเล่นแบคอัพให้พี่ๆ เค้า 2 ร้าน 2 วัน วันแรกผ่านไปด้วยดีค่ะ แต่ก็คุยกันถึงเรื่องพี่โจตลอด พี่ต๊ะ กับ พี่ดิ๊บก็บ่นคิดถึง บอกว่าถ้ามันมานะ มันจะอย่างงั้นอย่างงี้.. ก็พูดคุยกันไปด้วยความคิดถึงพี่โจที่จากไป พอมาถึงวันที่ 2 ก่อนงานจะเริ่ม ประมาณ 6 โมงเย็น พี่ๆ เข้ามาซาวด์เช็คกันที่ร้าน ด้วยความที่เป็นผับ เปิดไฟแค่บนเวทีมันก็จะสลัวๆ ตามสไตล์ ต้องบอกก่อนว่าพี่ดิ๊บใส่เสื้อกล้ามสีขาว พี่ต๊ะใส่เสื้อยืดสีดำ เรายืนเซ็ทไมค์ให้พี่ๆ อยู่ เสร็จแล้วก็ยื่นให้พี่ดิ๊บ แล้วก็มองหาพี่ต๊ะ ซึ่งไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน พี่ดิ๊บเลยโทรตาม พี่ต๊ะบอกว่ายืนอยู่หน้าร้านกำลังเดินเข้ามา พี่ดิ๊บเลยเดินขึ้นเวทีไป เราก็ก้มหน้าทำไมค์ต่อ สักพักได้ยินเสียงคนผลักประตูเข้

ทริปสยองที่หัวหิน

รูปภาพ
ประสบการณ์เห็นผีของเรานั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเราได้จัดทริปไปเที่ยวหัวหินกันค่ะ เริ่มออกเดินทางตั้งแต่ 4 ทุ่ม เพื่อที่จะไปถึงหัวหินตอนเช้ามืดให้ทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ไปโดยรถตู้ของพี่ที่รู้จักกันค่ะ.. ก็นั่งรถไปสักพัก เข้าเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เราเองซึ่งนั่งหน้าก็จะมองเห็นอะไรๆ บนถนนได้ชัดมาก แล้วสายตาเราก็ไปสะดุดกับร่างๆ หนึ่ง ซึ่งเขาวิ่งจากข้างทางมาตัดหน้ารถ เราตกใจมากร้อง ‘เห้ย!’ จนพี่ๆ ในรถก็ตกใจถามว่ามีอะไร? คือเราก็รู้ว่าทุกคนกลัวผีกัน แล้วก็ได้ยินมาว่าเวลาเจออะไรแปลกๆ ห้ามทัก เราเลยบอกไปว่า ‘ป่าว..’ เราหันหลังไปมอง ก็ยังเห็นร่างนั้นยืนอยู่กลางถนน และมองตามรถของเราจนสุดสายตา.. ตอนแรกเราก็คิดในแง่ดีว่าคงจะเป็นคนนั่นล่ะ แต่พอมองดูดีๆ แล้ว คนอะไรจะสูงเกือบ 3 เมตร คือสูงกว่ารถตู้ไปอีก!! ตอนนั้นเราเริ่มกลัวละ เลยนั่งหาอะไรดูในมือถือไปเรื่อย จนเข้าเขตหัวหินค่ะ น่าจะประมาณตี 2 หรือตี 3 ไม่แน่ใจ รถตู้เริ่มขับวนๆ หาบังกะโลที่จองไว้ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนเราเริ่มง่วง พี่คนขับก็ขับไปตามซอกซอย จนไฟหน้ารถสาดลงไปมองเห็นชายทะเล ด้วยความที่จะเช้าแล้ว เราเลยบอกพี่ๆ

บ้านพักราชการป่าไม้

รูปภาพ
เมื่อก่อนสามีเรารับราชการป่าไม้ ปัจจุบันเกษียณมาหลายปีแล้ว สมัยก่อนเราต้องตามสามีไปตลอด สามีไปประจำอยู่ตามหน่วยป้องกันรักษาป่า ซึ่งส่วนมากก็จะอยู่ในป่านั่นล่ะ บ้านพักก็เก่า และทรุดโทรมมาก ครั้งหนึ่ง สามีต้องย้ายไปประจำหน่วยป้องกันรักษาป่าแห่งหนึ่งทางภาคใต้ หน่วยนี้อยู่ทางขึ้นเขาไกลจากตัวจังหวัด 20 กว่ากิโล อยู่ริมถนน ซึ่งข้างหน้าหน่วยเป็นทางโค้งหักศอก เราย้ายมาวันแรก ก็เดินดูรอบๆ หน่วย แล้วไปสะดุดตากับเศษซากชิ้นส่วนรถนานาชนิด มีหญ้าปกคลุมเต็มไปหมด คะเนด้วยสายตาคงถูกทิ้งมานานหลายปีแล้ว ที่นี่ มีลูกจ้างชั่วคราว และข้าราชการประจำอยู่ กลางคืนจะมีเวรเฝ้าสำนักงาน 1 คน.. เราที่มาอยู่วันแรกก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนเลย เพราะได้ข่าวมาก่อนว่าที่นี่ผีดุ! ตอนค่ำๆ ก่อนนอนเราจะสวดมนต์ทุกคืน เช้าก็ไปใส่บาตรกรวดน้ำ วันพระก็ไปวัดตรงทางขึ้นเขาเสมอ สามีไม่ค่อยอยู่ ไปราชการบ่อย เราอยู่กับลูกสาวเล็กๆ 2 คน เราไหว้พระบอกตลอดเลยว่า  ‘อย่ามาให้เห็น ถ้ามาก็ขอให้มาดีๆ..’ บ้านที่เราอยู่เป็นบ้านไม้มี 2 ชั้น เรามักจะได้ยินเสียงคนเดินขึ้นลงบันไดตลอด โดยที่เปิดออกมาดูก็ไม่มีใคร ตอนแรกกลัว แต่ตอนหลังชินแล้ว คิดเส

ท่องเที่ยวฤดูหนาว

รูปภาพ
เมื่อหน้าหนาวปี 2544 ผมกับเพื่อนๆ เดินทางไปเที่ยวภูเรือด้วยรถตู้ ไปกัน 11 คน เนื่องจากเป็นเทศกาลท่องเที่ยว ทำให้บ้านพักที่จองไว้ไม่เพียงพอ จึงได้แค่บ้านพักหลังเล็กๆ 1 หลัง กับจำนวนคนที่มากกว่า จึงต้องเตรียมเต๊นท์ไปกางนอนอีก 2 หลัง แต่พวกเราไม่ได้คิดอะไรมาก เนื่องจากอีกคืนเราก็จะได้บ้านเพิ่มหลังที่ใหญ่ขึ้น ตกดึกประมาณ 4 ทุ่ม เพื่อนที่ตั้งวงกินเหล้าก็นั่งกินไป คุยไป ร้องเพลงเบาๆ คลอไปตามเรื่อง เพราะทางอุทยานไม่อนุญาตให้ส่งเสียงดัง หรือใช้เครื่องเสียง ด้วยอากาศที่หนาวเย็นมาก อุณหภูมิตอนนั้น 7-8 อาศา ทุกคนต้องใส่เสื้อหลายชั้น บรรยากาศรอบที่พักเป็นลานโล่ง ที่พื้นมีแต่ใบไม้แห้งตกหล่น รอบๆ บ้านพักปกคลุมไปด้วยต้นสักขนาดใหญ่ คืนเดือนหงายเห็นบรรยากาศโดยรอบชัดเจนในระยะไกล ส่วนบ้านพักอยู่ใกล้หน้าผา แต่ไม่ได้น่ากลัวเพราะมีต้นไม้ขึ้นสูงปกคลุมทั่ว ส่วนเต๊นท์ 2 หลังที่กางไว้ อยู่ห่างจากบ้านพักออกไปเล็กน้อยประมาณ 20 เมตร กางติดกันโดยหน้าเต้นหันไปทางลานโล่ง หลังเต๊นท์เป็นปลายเขา.. ประมาณ 5 ทุ่ม ทุกอย่างดูราบรื่นดีครับ ผมเองเป็นนักศึกษาวิชาทหารเก่า เคยนอนเต๊นท์มาก่อน เลยเสียสละขอนอนเต๊นท์เอง นอนเ

นอนผิดทิศ

รูปภาพ
เรื่องของเราเกิดขึ้นเมื่อสมัยเราเป็นเด็กค่ะ คือเราจะเป็นคนกลัวผีมาก แต่ก็ยังไม่เคยเจอนะคะ ตอนนั้นเราอยู่บ้านกับยาย 2 คน มักจะได้ยินคนบอกต่อๆ กันว่าแถวบ้านเราเจ้าที่แรง คนแถวบ้านฝันเห็นเด็กโบราณ และเจออะไรแปลกๆ อยู่บ่อยครั้ง หรือมีคนบอกว่า ถ้านอนหันหัวไปทางทิศตะวันตก คือนอนไปทางเดียวกับคนตาย จะสามารถติดต่อหรือเห็นวิญญาณได้ คืนหนึ่ง เรากับยายก็เข้านอนกันตามปกติ จำได้ว่าเวลาน่าจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว เราหลับอยู่ แต่ก็ต้องตื่นเพราะมีคนเรียกชื่อเรา ดังมาจากตู้กระจกด้านข้าง เสียงแบบแหบๆ ยานๆ ว่า ‘น้อง..นก..’ เรียกอยู่ 3-4 ครั้งจนเรามั่นใจว่าไม่ได้หูแว่วไปเองแน่ๆ แล้วเราก็ได้ยินเสียงของตู้กระทบกับกระจกเป็นระยะๆ ‘กึกๆ แก่กๆ’ เรานอนฟังอยู่ แต่ไม่กล้าจะลืมตาขึ้นมาดู เพราะกลัวมาก มีเรากับยายนอนกันแค่ 2 คน แล้วคนที่เรียกชื่อเราตรงตู้คือใคร? จนเราเริ่มรู้สึกได้ว่ายายเรานอนอยู่ข้างๆ ก็จริง แต่ว่าหัวเรากลับอยู่ที่เท้าของยาย หันไปทางทิศตะวันตกอยู่นั่นเอง! รู้ทันทีว่าเราคงนอนดิ้น เลยพยายามพลิกตัวกลับไปทิศตะวันออกอย่างเดิม จนสุดท้ายเสียงนั่นก็หายไป พอเราเริ่มหายกลัว เรารีบกระโดดไปทับยายทันที เหมือน

บังตา

รูปภาพ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ส่งเข้ามาจากคุณพอย เกิดขึ้นกับตัวคุณพอยเองเมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว คุณพอยเล่าว่า.. บ้านพอยอยู่แถวบางพลี วันที่เกิดเรื่อง เป็นวันที่นัดเพื่อนๆ มากินเลี้ยงกันที่บ้านค่ะ พอยเองเป็นคนไม่แตะต้องของมึนเมาทุกชนิดเลย พวกเรากินกันตั้งแต่ 1 ทุ่ม จนถึงเที่ยงคืนได้ พอยอาสาขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเพื่อน 2 คนที่บ้าน เพราะเพื่อนพอยเมากัน บ้านเพื่อนพอยคนนึงจะอยู่ใกล้ๆ กับ ม.หัวเฉียว โดยพอยจะไปส่งเพื่อนคนที่อยู่ไกลก่อน แล้วค่อยส่งเพื่อนอีกคนที่อยู่ใกล้บ้านพอยต่อ เพราะตอนนั้นดึกแล้ว เลยอยากมีเพื่อนไปด้วย อุ่นใจกว่า.. ขาไปเนี่ยพอยไปทางปกติ ก็ส่งเพื่อนคนนึงถึงบ้านเรียบร้อย.. พอยก็ขี่กลับจะไปส่งบ้านเพื่อนอีกคน ตอนนั้นดูท่าว่าฝนกำลังจะตก พอยเลยเลือกที่จะไปอีกทางหนึ่ง ที่เป็นทางลัดใกล้กว่า แต่เส้นทางนี้พอยรู้อยู่แก่ใจ ว่าทางมันเปลี่ยวไม่ปลอดภัย เค้าเรียกกันว่าคลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ คนแถวนี้จะรู้ประวัติที่นี่ดีค่ะ ลักษณะเป็นถนน 4 เลน มีเกาะกลางถนน มีเสาไฟตรงเกาะกลาง แต่ไฟไม่ติด ข้างทางเป็นป่าบ้าง โรงงานบ้าง แต่อยู่ห่างกัน บ้านคนก็มีไม่กี่หลัง แล้วก็จะเป็นป่ายาวๆ เลย.. แต่ตอนนั้นพอยก็ยอ

เพื่อนที่มาลา

รูปภาพ
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์เฉียดตายของคุณเอ๋ ที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 6 ปีมาแล้ว แต่ยังฝังอยู่ในความทรงจำเป็นอย่างดี.. ช่วงนั้นเอ๋เรียนอยู่ ปี 2 มหาวิทยาลัย แถวนครปฐม ซึ่งแถวนั้นช่วงกลางคืนจะไม่ค่อยมีร้านค้าอะไรเท่าไหร่ เมื่ออยากจะไปกินข้าว ไปเที่ยวกับเพื่อนก็จะต้องขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในเมือง มีอยู่คืนหนึ่ง.. วันนั้นเป็นวันสอบวันสุดท้าย เอ๋กับเพื่อนสนิทชื่อโบว์ ก็เลยชวนกันไปเที่ยวกลางคืนในเมือง ทั้งคู่แต่งตัวที่ห้องของตัวเอง และลงมาเจอกันที่หน้าตึก ตอนนั้นเป็นเวลา 3 ทุ่มกว่า โบว์เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์โดยที่เอ๋เป็นคนซ้อนท้ายไป เรื่องมันเกิดตอนขากลับ.. ทั้งคู่ดื่มแอลกอฮอล์ไปพอสมควร แต่ไม่ถึงกับเมา โบว์เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนเดิม เมื่อเดินทางกลับมาในซอยหอ ต้องบอกก่อนว่าในซอยนี้เป็นถนนเล็กๆ เลนสวนกัน ค่อนข้างลึก และเปลี่ยวมาก สองข้างทางเป็นทุ่ง โดยที่มีไฟข้างทางไม่กี่จุดเท่านั้น เมื่อมาถึงเสาไฟต้นหนึ่งจู่ๆ โบว์ก็ร้องขึ้นมาเสียงดังน่ากลัว และหักรถเข้าชนเสาไฟอย่างแรง.. เอ๋มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนเตียงพยาบาลแล้ว ซึ่งเป็นห้องคู่ กั้นด้วยผ้าม่านไว้เท่านั้น ตอนนั้นเป็นเวลาตี 4 ได้ เอ๋เห็นสภาพ

เพื่อนที่เจอบนตึกเรียน

รูปภาพ
 ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีที่ 1 ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เหตุการณ์ที่จะเล่านี้เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี่เองครับ.. เย็นวันหนึ่งที่มหาวิทยาลัย ผมกับเพื่อนๆ ทำงานกลุ่มกันอยู่ที่อาคารเรียนรวม 1 ตอนแรกก็มีเพื่อนช่วยกันทำหลายคนนะครับ แต่พอดึกหน่อยประมาณ 4 ทุ่ม เพื่อนก็เริ่มกลับกันหมด เหลือแค่ผมกับเพื่อนชื่อเต้ย 2 คนเท่านั้นครับ ผมกับไอ้เต้ยทำงานกันต่อจนถึงประมาณตี 2 ก็เริ่มจะไม่ไหวแล้ว เลยจะกลับกัน ผมปิดไฟในห้อง ไฟทางเดิน แล้วลงมาจากอาคารเรียนพร้อมกับไอ้เต้ย อาคารเรียนนี้ปกติจะมีทางลง 2 ทาง แต่ตอนดึกยามจะปิดเหลือแค่ทางลงเดียวครับ พอลงมาเต้ยมันก็ไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของมัน ที่จอดไว้ที่ลานจอดรถหน้าอาคารเรียนรวม เตรียมที่จะไปแวะส่งผมกลับหอพัก แต่ปรากฏว่าไอ้เต้ยมันก็นึกขึ้นได้ มันทวงที่ชาร์จแบตมือถือมัน เพราะผมยืมมันไปตอนทำงานอยู่บนอาคารเรียน แล้วผมลืมหยิบลงมา ผมเลยอาสาว่า ‘เอ้อเดี๋ยวกูรีบขึ้นไปเอาให้..’ แล้วผมก็รีบกลับขึ้นไปข้างบนอาคารเรียนอีกครั้ง ตอนทำงานก็ไม่ได้กลัวนะครับ แต่พอกลับมาคนเดียวเนี่ย มันมืดและวังเวงมาก ผมเปิดสวิทช์ไฟแต่เปิดไม่ติดเลย ผมเลยใช้ไฟมือถือส่องแทน ผมเดินขึ้นบันไดไป

ท่านปู่แก่มาเตือน

รูปภาพ
 ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว รินเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งย่านบางเขน และได้พักอยู่อพาร์ทเม้นท์ในซอย อยู่กับรูมเมทชื่อ ส้ม ค่ะ.. เจ้าของอพาร์ทเม้นท์นี้เป็นทหารที่ค่อนข้างจะเข้มงวดมาก จะขึ้นห้องก็ต้องถอดรองเท้าถือขึ้นไป.. สมัยนั้นรินเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้าเฮฮาตามประสาวัยรุ่น บางทีกลับมาจากเที่ยว ก็จะมีเพื่อนคนอื่นกลับมานอนด้วย ทั้งหญิงชาย และเก้งกวาง คือเพื่อนๆ กันทั้งนั้น ไม่มีอะไร แต่เจ้าของหอที่เป็นทหาร จะชอบมายืนมองพวกเราเดินขึ้นหอ เหมือนจะจับผิด ซึ่งพวกเราก็ไม่ค่อยจะชอบเขาเท่าไหร่นัก ขึ้นมาห้องก็บ่นๆ กันตามประสา มีอยู่คืนหนึ่ง ที่รินกับส้มไม่ได้ออกไปเที่ยวเพราะฝนตก เรา 2 คนก็เปิดเพลงจากคอมพิวเตอร์ฟังกันในห้อง รินก็บอกส้มว่า ‘เออ บรรยากาศแม่งได้ว่ะมึง ไปซื้อเบียร์มากินกันป่ะ?’ ส้มก็เห็นดีเห็นงามด้วย จึงไปซื้อเบียร์กันที่เซเว่นหน้าปากซอยเข้ามา 6 ขวด ก็นั่งกินเบียร์ ฟังเพลงกันไปเรื่อยเปื่อย ฝนก็ตกพรำๆ ทั้งคืนเย็นสบาย รินเลยไปเปิดประตูหลังห้องที่ต่อกับระเบียง เพื่อให้อากาศเย็นๆ เข้ามา.. เวลาประมาณ 5 ทุ่ม ขณะที่พวกเรานั่งคุยกันไป กินเบียร์กันไปยังไม่ทันหมด อยู่ๆ ป

คุณน้าบ้านตรงข้าม

รูปภาพ
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ที่จังหวัดอุบลราชธานีครับ บ้านผมจะอยู่ตรงข้ามกับบ้านของคุณน้าคนหนึ่ง เป็นเพื่อนบ้านกัน อยู่ตรงข้ามกันเป๊ะเลย แม้กระทั่งประตูหน้าบ้านก็ยังตรงกัน ต้องบอกก่อนว่า ผมกับคุณน้าคนนี้ไม่ค่อยได้คุยกันหรอกนะครับ เพราะน้าแกเป็นคนโลกส่วนตัวสูง เงียบๆ ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับใคร แกทำงานเป็นพนักงานขายรถยนต์อยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งครับ.. ช่วงที่ผมเรียนมัธยม ผมจะเจอน้าแกขึ้นรถประจำทางไปทำงานอยู่เสมอ แกเจอผมแกจะไม่พูดอะไร แกจะยิ้มทักทายซะมากกว่า แกมีบุคลิกท่าเดินที่เป็นเอกลักษณ์ คือเดินหลังโก่งๆ ใส่ชุดยูนิฟอร์มบริษัท และเวลากลับจากโรงเรียน ผมก็จะเจอแกประจำบนรถประจำทาง แกจะชอบเหน็บหนังสือพิมพ์ฟุตบอลไว้ที่รักแร้ข้างขวา มือข้างซ้ายจะถือกับข้าว มือขวาจะถือบุหรี่ แกเป็นคนสูบบุหรี่หนักครับ.. หลังจากน้าแกเข้าบ้าน แกจะชอบสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าของแก มันจะสตาร์ทติดยากหน่อย นึกภาพตามนะครับ เสียงง้างคันสตาร์ทออกมา แล้วเริ่มถีบคันสตาร์ท เสียงดัง ‘แค๊ก แค๊ก แค๊ก’ อยู่หลายแค๊ก กว่าจะ ‘บรื้นๆๆ’ แล้วแกก็จะขับรถคันนั้นออกจากบ้านไปซื้อของ เสียงรถแกจะดังไปจนถึงปากซอยเลย.. น้าแกจะทำแบบ

ยายแก่ที่สวน

รูปภาพ
เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยตรงกับแม่เราค่ะ เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ตอนนั้นแม่เราอยู่ที่ประเทศจีน มันจะมีสะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่ง ด้านล่างจะเป็นสวนสาธารณะเปิดใหม่ ให้ผู้คนไปนั่งเล่นเดินเล่นพักผ่อนริมน้ำกัน.. เย็นวันหนึ่ง แม่เราก็ไปเดินเล่นกันที่สวนแห่งนั้น พอช่วงค่ำๆ ขณะเดินๆ อยู่ สายตาแม่ก็เหลือบไปเห็นยายแก่หน้าตาเศร้าๆ อายุประมาณ 80 เดินหลังค่อมๆ กำลังจะลงไปในแม่น้ำพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ แม่จึงเดินเข้าไปถามว่า  ‘ยายจะลงไปทำไม?’  ยายตอบว่า  ‘จะลงไปตักน้ำ..’  ด้วยความสงสารคนแก่ แม่จึงยื่นน้ำให้แกไป 1 ขวด พร้อมกับเงินอีก 20 หยวน พร้อมกับบอกว่า  ‘ยายเอานี่ไปดีกว่า เดี๋ยวจะตกลงไป’  ยายหันมาบอกแม่ว่า  ‘ขอบใจนะ ขอให้โชคดีๆ’  แม่รับคำ และถามยายต่อว่า  ‘แล้วนี่ยายจะไปไหนต่อ?’  ยายว่า  ‘จะกลับบ้าน..’  พร้อมกับชี้มือไปสุดทางเดิน ซึ่งแม่มองดูแล้วไม่น่าจะมีบ้านคนแถวนั้นได้ จากนั้นยายก็เดินจากไป.. พอตอนกลับ แม่ก็เดินไปทางเดียวกับที่ยายคนนั้นเดินไป เดินไปเรื่อยๆ แม่ก็เริ่มรู้สึกเย็นวูบวาบแปลกๆ พอรู้ตัวอีกทีก็คือแม่กำลังเดินผ่านหลุมศพนับร้อย เนื่องจากสวนสาธารณะตั้งอยู่ติดกับพื้นที่สุสานนั่นเอง แล้วแม่ก็ต

ของจากพ่อ

รูปภาพ
สวัสดีค่ะ เรื่องที่เราจะเล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานกว่า 20 ปี และยังคงเป็นไปอยู่ ก่อนอื่นเราขอเกริ่นพื้นฐานครอบครัวของเราก่อนนะคะ เพราะว่ามันเป็นเรื่องหลักที่จะต่อยอดไปยังเรื่องอื่นๆ ที่ได้เจอ ครอบครัวทางฝั่งพ่อของเราเป็นคนจีน อยู่กันแบบกงสี มีฐานะหน่อย พ่อเราถูกเลี้ยงมาแบบลูกคุณหนู วันๆ ไม่ต้องทำอะไร พื้นฐานนิสัยของพ่อเป็นคนพูดจาโผงผาง เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบว่า และข่มคนอื่น เลยเข้ากับใครไม่ค่อยได้ ขนาดคนในครอบครัวของพ่อเอง ยังไม่มีใครอยากพูดคุยด้วยเลย พ่อเราเคยเป็นเด็กช่างมาก่อน เค้าชอบเรื่องพวกไสยศาสตร์ มนต์ดำ และการเลี้ยงกุมาร พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยหนุ่มๆ ที่เป็นนักดนตรี พ่อเคยจุดธูปบอกกุมารว่า จำเป็นต้องซ้อมดนตรีในบ้าน เลยขอให้อุดหูทุกคนในบ้านเอาไว้ อย่าให้ได้ยินเสียงดัง แล้วคืนนั้นพ่อพาเพื่อนๆ มาซ้อมดนตรีกันในบ้าน แต่วันรุ่งขึ้น พ่อไปถามทุกคนดู ปรากฏว่าไม่มีใครได้ยินเสียงดนตรีเลยจริงๆ ทุกคนนอนหลับสบายดี เราก็ไม่ได้เชื่อสนิทใจ แต่มันก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรารู้ว่าพ่อเราสนใจในศาสตร์นี้จริงๆ ค่ะ มาเข้าเรื่องกันเลยนะคะ แม่ของเราถูกจับแต่งงานกับพ่อด้วยเหตุ